วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

1 กรกฏา เริ่มปฏิวัติกิจวัตรประจำวันละคะ่

สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวบล๊อกนะคะ วันนี้โฟล์คจะมารายงานว่า โฟล์คน้ำหนักขึ้นประมาณ 3 กก. ++ ค่ะ
เนื่องจาก ทำงานในออฟฟิศ กิน นั่ง กิน นั่ง กลับบ้านเหนื่อย กิน นอน กิน นอน คราวนี้ก็จะพยายามปฏิวัติสุขภาพด้วยการทานคลีนแล้วนะคะ ใครมีสูตรอาหารก็มาแบ่งโฟล์คบ้างนะคะ อยากสวย อิอิ

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Do You Know about Acne ….True or False

ทุกวันนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับสิวอยู่อีกมาก บ้างก็ว่าสิวเกิดจากอาหารบางประเภทที่เรารับประทาน บ้างก็ว่าสิวเกิดจากความเครียด ลองทายดูสิว่า ความเชื่อต่างๆเหล่านี้เป็นความเชื่อที่ถูกหรือผิด

ความเครียดและการเข้านอนดึกทำให้เป็นสิวมากขึ้น.................. (√)
ความเครียดส่งผลต่อระบบของร่างกาย เช่น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดสิว

แสงแดดช่วยฆ่าเชื้อโรค ดังนั้นการออกไปตากแดดทำให้เป็นสิวน้อยลง.......................( X)
สิวเกิดที่บริเวณรูขุมขนซึ่งอยู่ภายในชั้นผิวหนัง ดังนั้นการออกไปตากแดด ไม่ได้ช่วยให้สิวหายหรือทำให้เป็นสิวลดลง มิหนำซ้ำยังทำให้แก้ฝ้าและจุดด่างดำได้อีกด้วย

การล้างหน้าบ่อยๆ เป็นการป้องกันการเกิดสิว......................( X)
การล้างหน้าหรือทำความสะอาดผิวหน้าบ่อยๆ ไม่ได้เป็นการป้องกันการเกิดสิวหรือทำให้เป็นสิวน้อยลง ตรงกันข้ามการล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวและอาจทำให้เป็นสิวมากขึ้น

เมื่อเป็นสิวไม่จำเป็นต้องทำการรักษา เมื่ออายุมากขึ้นสิวก็จะค่อยๆหายไปเอง....................( X)
สิวสามารถรักษาให้หายได้ ปัจจุบันนี้มีวิธีรักษาสิวที่มีประสิทธิภาพมากมาย ดังนั้นเมื่อเป็นสิวควรรีบไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง เพื่อรักษา และป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นที่รักษายากกว่าการรักษาสิว

การกดหรือบีบสิวจะทำให้สิวหายเร็วขึ้น ........................(X)
การบีบหรือกดสิวจะทำให้ตุ่มหนองแตกออกและมีการแพร่กระจายของหนองและเชื้อ แบคทีเรียไปยังบริเวณข้างเคียง ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้นและอาจทำให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นได้

รู้ทัน....ป้องกันมะเร็ง

"มะเร็งตับ" เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย ส่วนมะเร็งลำไส้ คร่าชีวิตคนไทยสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ
"มะเร็งตับ" เป็นมะเร็งที่มีการดำเนินโรคเร็วมาก มักจะเสียชีวิตใน 3 -6 เดือน
โอกาสรอดชีวิตของ "มะเร็งตับ" มีเพียง 10-20% ขณะที่อัตราการเสียชีวิตมีสูงถึง 80-90%
"มะเร็งลำไส้" มักตรวจพบ เมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้ว เนื่องจากมะเร็งในระยะต้น มักไม่มีอาการที่ชัดเจน
"มะเร็งลำไส้"สามารถตรวจพบก่อนการเป็นมะเร็ง ด้วยการส่องกล้อง เท่านั้น

เรามาทำความรู้จักมะเร็งร้าย 2 ชนิดนี้กันดีกว่า
จะทราบได้อย่างไรว่ากำลังเป็นมะเร็งตับ?
ผู้ป่วยส่วนใหญ่แทบไม่มีอาการอะไรเลย ดังนั้นเมื่อมีอาการที่ชัดเจนมะเร็งก็อยู่ในระยะลุกลามหรือมีขนาดใหญ่และไม่ สามารถจะรักษาได้แล้ว อาการของผู้ป่วยมะเร็งตับที่ชัดเจนก็คือ
•     รู้สึกอ่อนเพลีย น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
•     เบื่ออาหาร จุกเสียด แน่นท้อง
•     ปวดชายโครงด้านขวา โดยอาจร้าวไปที่ไหล่ด้านขวาหรือลำตัวซีกขวาและอาจคลำพบก้อนที่ชายโครง
•     ตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องโตและบวมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง

การตรวจหามะเร็งตับทำได้อย่างไร?
•     การตรวจหาระดับของสารอัลฟาฟิโตโปรตีน (Alfafeto-protein) ซึ่งเป็นสารที่มักพบในผู้ป่วยมะเร็งตับ
•     การทำอัลตราซาวนด์ช่องท้อง เพื่อตรวจหาก้อนมะเร็งที่มีขนาดเล็ก ๆ ได้
•     การตรวจโดยใช้เครื่องเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า C T Scan ซึ่งจะสามารถเห็นมะเร็งที่มีขนาดเล็กกว่า 1 ซ.ม.ได้

จะทราบได้อย่างไรว่ากำลังเป็นมะเร็งลำไส้
•     ปวดท้อง, ท้องเสีย, ท้องผูก บางครั้งอาจมีอาการทั้ง 3 อย่างสลับกัน
•     เลือดออกในเนื้องอกก่อให้เกิดเลือดออกในอุจจาระ   ซึ่งหากเป็นสีแดงแสดงว่ามีเนื้องอกที่บริเวณช่องทวารหนัก   และหากเป็นสีดำ แสดงว่ามีเนื้องอกอยู่ภายในลำไส้
•     บางครั้งอาจรู้สึกแน่นท้อง ปวดท้อง เป็นไข้ น้ำหนักลด ไม่อยากอาหาร

การตรวจหามะเร็งลำไส้ทำได้อย่างไร?
•     การตรวจเลือดที่แฝงในอุจจาระ (แต่ให้ผลการวิเคราะห์ที่ไม่แม่นยำ)
•     การตรวจเลือดเพื่อหาตัวบ่งชี้มะเร็ง CEA , CA 19-9 และ CA 125
•     การตรวจวินิจฉัยทางรังสีวิทยา
•     การส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร
•     การตรวจเนื้อเยื่อ

สำหรับหลายๆ ท่าน ที่รู้สึกว่าอาการผิดปกติของตนเองนั้น ยังไม่มาก สามารถทนได้ หรืออาการทุเลาลงเมื่อรับประทานยา อาจจะยังไม่เห็นความสำคัญของการพบแพทย์ในทันที  ซึ่งทำให้ผู้ป่วยหลายคนพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย ที่จะค้นพบสาเหตุของโรคในระยะเริ่มต้น ทำให้ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน  เนื่องจากอาการได้ลุกลามไปแล้ว จนถึงขั้นไม่อาจรักษาได้ก็มี......อย่างลืมดูแลตัวเองและคนที่คุณรัก ด้วยการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจาก....

โรคตาแดง

โรคตาแดง เป็นการอักเสบของเยื่อบุตาขาวที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อ adenovirus  แล้วเกิดการติดเชื้อที่เยื่อตาขาวเรียกว่า Epidemic keratoconjunctivitis (EKC)  เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่าย รวดเร็ว และทำให้เกิดอาการขึ้นอย่างเฉียบพลัน พบมีการระบาดเป็นช่วงๆ มักเป็นในฤดูฝน การติดต่อของโรคเกิดโดยตรงจากการสัมผัส การใช้ของร่วมกัน การไอ หรือการหายใจรดกัน และมักเกิดการติดต่อกันในที่ชุมชน   ในโรงเรียน   ที่ทำงาน สระว่ายน้ำ รวมทั้งห้างสรรพสินค้า  โดยหลังจากได้รับเชื้อแล้วจะทำให้เกิดอาการภายใน 1-2 วัน และเมื่อเกิดเป็นขึ้นมาแล้วจะมีโอกาสแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นนานถึง 2 สัปดาห์

ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสนี้จะมีอาการตาแดงอย่างรวดเร็ว เคืองตา เจ็บตา น้ำตาไหล ไม่มีขี้ตา นอกจากมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนตามมาจึงจะมีขี้ตา บางรายมีต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโตและเจ็บ ผู้ที่เป็นมักเป็นกับตาข้างหนึ่งก่อน ต่อมาอีก 2-3 วัน ก็จะลุกลามไปกับตาข้างหนึ่งระยะเวลาของโรคนี้จะเป็นนานประมาณ 10-14 วัน

ในบางรายเมื่อตาแดงดีขึ้น อาจเกิดโรคแทรกซ้อนคือตาดำอักเสบ โดยผู้ป่วยสังเกตว่ามีอาการมัวลงทั้งๆ ที่อาการตาแดงดีขึ้นมากแล้ว มักเกิดขึ้นในวันที่ 7-10 หลังเริ่มเป็นตาแดง ตาดำอักเสบนี้ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจเป็นอยู่นานหลายๆ เดือนกว่าจะหาย

หากมีอาการต่อไปนี้ให้รีบพบแพทย์
•    ตามัวลง
•    ปวดตามากขึ้น
•    กรอกตาแล้วปวด
•    ไข้
•    ให้ยาไปแล้ว 48 ชั่วโมงไม่ดีขึ้น
•    น้ำตายังไหลอยู่แม้ว่าจะได้ยาครบแล้ว
•    แพ้แสงอย่างมาก


การป้องกัน
โรคตาแดงเป็นโรคที่ไม่มีการรักษาโดยตรง มีการระบาดอย่างรวดเร็ว และติอต่อกันง่ายมาก การป้องกันระมัดระวังไม่ให้ติดโรคนี้ ทำได้โดยการแยกผู้ป่วย เช่น หยุดงาน หยุดเรียน ไม่พูด ไอ หรือจามรอผู้อื่น ไม่ใช้สิ่งของปะปนกับผู้อื่น ไม่ใช้มือป้ายตาและขยี้ตาเพราะเชื้อโรคจะติดไปยังสิ่งของที่ผู้ป่วยหยิบจับ ล้างมือบ่อยๆ ให้สะอาด ห้ามใช้ยาหยอดตาร่วมกัน ในผู้ที่เป็นตาแดงในตาข้างหนึ่ง ส่วนอีกตาข้างหนึ่งไม่มีอาการ ให้หยอดตาเฉพาะตาข้างหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องหยอดตาข้างปกติด้วย เพราะจะเป็นการนำเชื้อจากตาข้างที่เป็นไปยังตาข้างปกติ

การรักษา
        เนื่องจากโรคตาแดงเกิดจากเชื้อไวรัส จึงยังไม่มีการรักษาโดยเฉพาะยาต้านเชื้อไวรัสต่างๆ ที่มีขณะนี้ใช้ไม่ได้ผลกับเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคนี้ ส่วนใหญ่แพทย์จะรักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะหยอดตา และป้ายตา เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซึ่งมักจะเกิดตามมา ถ้ามีอาการเจ็บตาให้รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล ถ้ามีอาการเคืองตา แพทย์จะแนะนำให้ใส่แว่นกันแดด ไม่ควรปิดตา และไม่จำเป็นต้องล้างตา นอกจากนี้ผู้ป่วยควรได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ และพักการใช้สายตา ระยะเวลาการรักษานานประมาณ 2 สัปดาห์
         ลักษณะของโรคตาแดงที่แพทย์ต้องดูแลเป็นพิเศษมีอยู่ 3 ลักษณะด้วยกัน คือ ประการแรก ถ้าเยื่อตาขาวอักเสบมากเสียจนผิวของเยื่อตาขาวลอกออก บางครั้งเยื่อตาขาวของเปลือกตากับเยื่อตาขาวของลูกตาอาจจะกลายเป็นแผลเป็น ติดกันได้ ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกวิธี เพราะเนื้อมาประกบกันโดยที่ไม่มีหนังอยู่ตรงกลาง จึงอาจจะติดกันจนแยกไม่ออก ทำให้มีการระคายเคืองเรื้อรังได้
       
         ประการต่อมา ในส่วนของกระจกตาดำ เพราะบางเชื้อเข้ากระจกตาดำทำให้คนไข้มองอะไรไม่ค่อยชัด สู้แสงไม่ได้ ทำงานลำบาก สุดท้าย คือ เรื่องของเปลือกตาที่บวมมาก มีน้ำตาไหลออกมาตลอดจนคนไข้กังวลมาก จึงต้องมีการดูอาการเป็นพิเศษ เพื่อรอให้หายไปเอง ด้วยการพูดคุยกับคนไข้ อธิบาย ให้เข้าใจให้สบายใจ จากนั้นจะให้กลับไปรักษาตัวที่บ้านเมื่ออาการทุเลาลง

         อาการตาแดงนอกจากจะเกิดจากโรคตาแดง ซึ่งมีการระบาดกันอยู่บ่อยๆ แล้วยังอาจพบได้ในโรคตาอื่นๆ อีกหลายโรค และบางโรคเป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรง คือทำให้มีการสูญเสียสายตาได้ เช่น ต้อหิน ม่านตาอักเสบ ตาดำอักเสบ ดังนั้นเมื่อเกิดมีอาการตาแดงขึ้น ควรได้รับการตรวจรักษาโดยแพทย์ ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง
    
         ข้อปฏิบัติที่สำคัญสำหรับผู้ที่กำลังเป็นโรคตาแดง คือ การป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจายจากตนเองไปสู่ผู้อื่น โดยผู้ที่มีอาการควรหยุดพักเรียนหรือพักงานอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ไม่ควรอยู่ในที่ชุมชน รวมทั้งใส่แว่นตากันแดด เป็นการป้องกันฝุ่นละอองที่จะทำให้เกิดอาการระคายเคือง

         สำหรับการอยู่ร่วมกับผู้ป่วยนั้น อย่ากลัวหรือกังวลในการติดโรคมากจนเกินไป เพราะเชื้อมีระยะเวลาในการแพร่ เพียงแต่ระมัดระวังไม่จับ สัมผัส หรือใช้ของร่วมกับผู้ป่วย

พิลาทีส

ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบพิลาทีส
  • ปรับความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจในการเคลื่อนไหว
  • สร้างความแข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย ทำให้มีบุคลิกที่ดีและมีการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติอย่างสวยงาม
  • เน้นเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลำตัว โดยจะทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแบนราบสวยงามและกล้ามเนื้อลำตัวที่แข็งแรงจะทำ ให้ความเสี่ยงต่อโรคปวดหลังลดน้อยลง
  • กระตุ้นการเรียนรู้การเคลื่อนไหว และท่าทางที่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน และหลีกเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้อที่ไม่จำเป็น
  • มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวที่เป็นไปตามธรรมชาติและมีการกระแทกของข้อต่อน้อย
  • ฟื้นฟูร่างกายหลังความเจ็บป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้ที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกายแบบพิลาทีส
  • ผู้ที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพทุกเพศทุกวัย
  • ผู้ที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความตึงตัวของกล้ามเนื้อกระชับสัดส่วนและหน้าท้อง
  • ผู้ที่มีปัญหาปวดหลัง จากกล้ามเนื้อลำตัวที่อ่อนแอและทำงานไม่สมดุลย์
  • นักกีฬาที่ต้องการออกกำลังกายเฉพาะ ให้เหมาะสมกับกีฬาที่เล่นอยู่
  • นักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บที่ต้องการการฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาฟื้นฟูด้านการเคลื่อนไหว
  • ผู้ที่มีสุขภาพอ่อนแอที่ต้องการการออกกำลังกายที่ไม่หนักเกินไป
รูปแบบของการออกกำลังกายแบบพิลาทีส
  • การออกกำลังกายบนแมต โดยไม่ใช้อุปกรณ์หรือใช้อุปกรณ์เพียงเล็กน้อย
  • การใช้เครื่องมือเฉพาะทางพิลาทีส เช่น เครื่องรีฟอร์มเมอร์ คาดิแลค วุนดาแชร์ เป็นต้น
  • พิลาทีสบนลูกฟิตบอล
  • การใช้เทคนิคพิลาทีสร่วมกับการออกกำลังกายอื่น เช่น โยคะ ยกน้ำหนัก เต้นแอโรบิค ฯลฯ

การออกกำลังกายแบบพิลาทีส ในศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
  • สถานที่เฉพาะเป็นส่วนตัวในการออกกำลังกายแบบพิลาทีส
  • บุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกเทคนิคการออกกำลังกายแบบพิลาทีสมาโดยเฉพาะ จากสถาบันระดับสากล Physicalmind Institute
  • อุปกรณ์พื้นฐานของพิลาทีสที่ทันสมัยและครบถ้วน ได้แก่ เครื่อง Reformer, Cadillac, Wunda chair และอุปกรณ์ทางแมต
  • โปรแกรมการออกกำลังกายแบบพิลาทีสฟื้นฟูในผู้ป่วย
  • โปรแกรมการออกกำลังกายแบบพิลาทีสสำหรับนักกีฬาและฟื้นฟูนักกีฬาที่บาดเจ็บ
  • โปรแกรมการออกกำลังกายแบบพิลาทีสเพื่อสุขภาพและความสวยงาม

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อย่า! ยอมเป็นเหยื่อรายต่อไปของ...เบาหวาน

โรคเบาหวานเป็นโรคที่มีแนวโน้มไม่เพียงแต่จะพบมากขึ้นในคนไทย แต่ยังพบมากขึ้นในประชากรของแต่ละประเทศทั่วโลก

โรค เบาหวานจัดเป็นโรคที่นำไปสู่การเสียชีวิตในอันดับต้น ๆ รองจากหัวใจ และโรคมะเร็ง เดือนพฤศจิกายนของทุกปี องค์การอนามัยโลก และสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ จึงจัดงานวันเบาหวานโลกขึ้น เพื่อกระตุ้นเตือนให้ทุกฝ่ายหันกลับมาใส่ใจดูและสุขภาพก่อนที่โรคเบาหวาน ร้ายจะคร่าชีวิตคุณและคนที่คุณรัก...ตลอดไป

อาการต้องสงสัย
- ปัสสาวะบ่อย และมีปริมาณมาก
- คอแห้ง กระหายน้ำบ่อย
- หิวบ่อย รับประทานอาหารมากแต่น้ำหนักลด อ่อนเพลียง่าย
- แผลหายช้า, มีการติดเชื้อตามผิวหนังบ่อย โดยเฉพาะเชื้อรา
- ชาปลายมือ ปลายเท้า, ตาพร่ามัว




ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นเบาหวาน
- ผู้มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar) ก่อนทานอาหารเช้า อยู่ในช่วง 100-125 มก./ดล. หรือ “ระยะก่อนเป็นเบาหวาน”
- ผู้ที่มีคนในครอบครัวหรือญาติ เป็นเบาหวาน
- ผู้ที่เป็นโรคหัวใจและ/หรือโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
- อ้วนลงพุง (รอบเอวมากกว่า 32 นิ้ว สำหรับเพศหญิง, มากกว่า 36 นิ้ว สำหรับเพศชาย)
- มีระดับไขมันในเลือดผิดปกติ (โดยเฉพาะชนิดเอชดีแอลต่ำ และไตรกลีเซอไรด์สูง)
- มีภาวะไขมันแทรกในตับ
- เคยเป็นเบาหวานในระหว่างตั้งครรภ์ หรือเคยคอลดบุตรน้ำหนักเกิน 4 กิโลกรัม
- รับประทานยาทางจิตเวชบางชนิด

เลเซอร์ทางทันตกรรม

เลเซอร์ทางทันตกรรม คืออะไร

     เป็นเทคโนโลยีล่าสุดจากสหรัฐอเมริกา ที่มีการใช้ตัวกลางหลายๆ ชนิด ได้แก่ เออร์เนียม, โครเมียม, ยิทเตรียม, สแกนเดียม, แกลเลียม, การ์เน็ท ( Erbium, Chromium, Yttrium, Scandium, Gallium, Garnet )
มารวมกันทำ ให้เกิดผลการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในทางทันตกรรม โดยการปลดปล่อยพลังงานเลเซอร์ไปที่โมเลกุลของน้ำ ( Hydrokinetic System ) พลังงานดังกล่าว จะถูกนำมาใช้ในงานทันตกรรมต่างๆ ซึ่งไม่ส่งเสียงน่ารำคาญและไม่มีความร้อนหรือการสั่นสะเทือน




ประโยชน์ที่ได้จากเลเซอร์ทางทันตกรรม มีอะไรบ้าง?
     ความร้อนและการสั่นสะเทือนจากการกรอฟันในวิธีแบบเดิมเป็นสาเหตุใหญ่ ในการก่อให้เกิดอาการเสียวฟันและกระทบกระเทือนประสาทฟันด้วยนวัตกรรมใหม่นี้ พลังงานเลเซอร์ที่ผ่านทางโมเลกุลของน้ำ จะทำการตัดเนื้อฟันโดยไม่ใช้การส่งผ่านความร้อน หรือการสั่นสะเทือน ดังนั้นการทำงานด้านทันตกรรมในหลายๆ กรณี เช่น การอุดฟัน การตัดเนื้อเยื่อ การตกแต่งกระดูก เป็นต้น สามารถทำได้โดยปราศจากการใช้ยาชาในการรักษาหรือใช้แต่เพียงเล็กน้อย
     นอกจากนี้การใช้เลเซอร์ยังมีความอ่อนโยนต่อเหงือก ตลอดขั้นตอนการรักษาจะมีเลือดออกน้อยมากหรือไม่มีเลย ผู้รับบริการได้รับความพึงพอใจอย่างมาก อีกทั้งช่วยลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ภายหลังการรักษาด้วยเลเซอร์




ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้เลเซอร์ในการผ่าตัดเนื้อเยื่อในช่องปาก
     1. ลดการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด
     2. ลดกรสูญเสียเลือดหรือไม่เสียเลือดเลย
     3. ลดอาการเจ็บและบวม หลังการผ่าตัด
     4. ใช้เวลาในการสมานแผลน้อยลง
     5. ไม่ใช้ยาชาหรือใช้น้อยลง




เลเซอร์ทางทันตกรรม สามารถใช้สำหรับ?
      - การรักษาคลองรากฟัน
     - การกำจัดเนื้อฟันส่วนที่ผุออก
      - การเตรียมเนื้อเยื้อฟันเพื่ออุดฟัน
      - การตกแต่งเนื้อเยื้อในช่องปากและเหงือก
      - การตกแต่งกระดูก
      - รักษาแผลในช่องปาก เช่น แผลร้อนใน
      - การเปลี่ยนสีเหงือกจากสีคล้ำให้จางลง (Depigmentation)
      - การฟอกสีฟัน




เลเซอร์ทางทันตกรรม : การรักษาที่ปลอดภัย
     เลเซอร์เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองคุณภาพจากองค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา


รากเทียมคืออะไร

รากเทียมเป็นวัสดุที่ทำด้วยโลหะไทเทเนียม รู้ร่างลักษระคล้ายรากฟันธรรมชาติ...


ใช้ฝังในกระดูกขากรรไกรเพื่อเป็นหลักยึดของฟันปลอม ส่วนประกอบของรากเทียม
     : ; แกนยึดฟันปลอม(abutment)
     : : ฟันปลอม(prosthesis)
     : : รากเทียม(implant)

ขั้น ตอนการรักษา ทำผ่าตัดฝังรากเทียมในกระดูกขากรรไกร แล้วรอให้มีการยึดติดระหว่างรากเทียมกับกระดูก ใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือนสำหรับฟันล่าง และ 6-8 เดือนสำหรับฟันบน หลังจากนั้นจึงพิมพ์ปากทำฟันปลอม

ข้อดีของการทำรากเทียม รากเทียมสามารถใช้งาน มีความสวยงามและความคงทนถาวรเหมือนฟันธรรมชาติ ลดส่วนประกอบที่ทำให้ไม่สะดวกในการใช้งาน ทำให้ใช้งานได้ดีกว่าฟันปลอมชนิดอื่นๆ

ข้อจำกัดการทำรากเทียม การทำรากเทียมมีขั้นตอนของการผ่าตัด เพราะฉะนั้นคนไข้ที่จะทำต้องมีกระดูกขากรรไกรที่เหมาะสม และไม่มีโรคทางระบบเช่น โรคเลือด โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ เป็นต้น

การทำรากเทียมแบบต่าง ๆ
- ใส่รากเทียมบริเวณฟันหน้าบน 1 ซี่
- ใส่รากเทียมบริเวณฟันหลังล่างขวา 2 ซี่
- ใส่รากเทียมบริเวณฟันหน้าบน 4 ซี่ เพื่อเป็นหลักยึดฟันปลอมบนทั้งปาก

กลิ่นปาก

กลิ่นปาก
กลิ่นปาก หรือลมหายใจไม่สะอาด หากเกิดขึ้นกับใครก็ทำให้เกิดความวิตกกังวลต่อการเข้าสังคมและสูญเสียความมั่นใจ
สาเหตุของกลิ่นปาก อาจเกิดจาก
     - แผ่นคราบฟันและหินปูนที่อยู่รอบๆ ฟัน
     - เศษอาหารที่ตกค้างอยู่ตามซอกฟัน บริเวณที่ทำความสะอาดได้ยาก หรือในรูฟันผุ
     - เหงือกเป็นหนองจากโรคปริทัศน์ มีฟันโยก
     - อาหารบางชนิด เมื่อรับประทานจะมีกลิ่นขับออกมาทางลมหายใจ เช่น หัวหอม กระเทียม ทุเรียน เป็นต้น การดื่มสุรา หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ ล้วนทำให้เกิดกลิ่นปากได้ทั้งสิ้น
     - สาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดกลิ่นปากได้ มักจะเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ เช่น โรคกระเพาะอาหารหรืออาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก โรคไซนัสอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ ไข้หวัด วัณโรค โรคฝีในปอดและหลอดลม เป็นต้น

การ ป้องกันและกำจัดกลิ่นปาก สามารถป้องกันได้อย่างง่ายๆ ด้วยการแปรงฟันอย่างถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง แปรงลิ้นใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ หมั่นตรวจสุขภาพช่องปาก โดยทันตแพทย์ เพื่อขูดหินปูนและอุดฟันทุก 6 เดือน

การแก้ไขกลิ่นปาก เนื่องจากสาเหตุของความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารหรือระบบทางเดินหายใจ จำเป็นต้องรับการรักษาทางร่างกาย และดูแลให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงสมบรูณ์อยู่เสมอ ไม่ควรมองข้ามอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นแม้จะรู้สึกว่าเป็นอาการเพียงเล็กน้อย เมื่อร่างกายได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นอันว่าตัดปัญหาเรื่องกลิ่นปากที่เกิดจากสุขภาพร่างกายออกไปได้เมื่อ แก้ไขปัญหาต่างๆ จนหมดไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า ตนเองมีกลิ่นปากอยู่เป็นประจำก็ต้องหันมาให้ความสนใจกับชีวิตประจำวันของตน เองว่า ปกติชอบรับประทานอาหารประเภทใดมากที่สุด และอาหารที่รับประทานเป็นประจำนั้นมีผลให้เกิดกลิ่นปากหรือไม่

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

ฟักทอง หลากประโยชน์ มากด้วยสรรพคุณทางยา


ฟักทองถือเป็นพืชในตระกูลมะระชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวผลขณะยังอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จัดแล้วจะมีสีเขียวสลับเหลือง ผิวไม่เรียบขรุขระ เปลือกมีลักษณะแข็ง เนื้อในสีเหลือง มีเส้นใยอยู่ภายในเป็นสีเหลืองนิ่ม พร้อมกับเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ประโยชน์ของฟักทองนั้นมีมากมาย สามารถนำมาใช้กินบำรุงร่างกายและรักษาโรคได้ดี 
 
 
สรรพคุณทางยาของฟักทอง
- เมล็ดสามารถขับพยาธิตัวตืด ขับปัสสาวะ และบำรุงร่างกายได้ดี
- ราก บำรุงร่างกาย แก้ไอ ถอนพิษของฝิ่นได้
- น้ำมันจากเมล็ดบำรุงประสาทได้ดี
- เยื่อกลางผลสามารถนำมาพอกแก้อาการฟกช้ำ ปวด อักเสบ
ประโยชน์ของฟักทองทางโภชนาการ
- เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูงมาก มีฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง สารสีเหลืองและโปรตีน
- ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ
- ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย
- เมล็ด มีน้ำมัน แป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน
ผักและผลไม้แทบทุกชนิดล้วนมีคุณค่าทางอาหาร ยิ่งรู้จักเลือกรับประทานให้เหมาะสมกับร่างกายของคุณ ยิ่งได้ประโยชน์ยิ่งขึ้น สำหรับใครที่ต้องการลิ้มลองความอร่อยที่มาพร้อม สุขภาพดีๆ หันมารับประทานอาหาร ให้เป็นยา

Organic Food ความอร่อย เพื่อสุขภาพ


ความอร่อย คือ นิยามของความรู้สึกที่ได้รับจากการลิ้มรสอาหารผ่านลิ้น และทำให้เกิดความประทับใจ เมื่อใดที่เรานึกถึงอาหาร ก็ต้องย่อมต้องมีเรื่องของความอร่อยมาคู่กันเสมอ ถ้าที่ใดเป็นที่เลื่องลือว่ามีอาหารอร่อย ที่นั่นก็มักจะได้รับความสนใจและคลาคล่ำไปด้วยผู้คน หรืออาจจะกล่าวได้ว่า "รสชาติดีมีชัยไปกว่าครึ่ง" แต่ถ้าจะให้สมบูรณ์เต็มร้อย สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือ การเลือกใช้วัตถุดิบที่จะนำมาปรุงอาหาร ที่ต้องอุดมไปด้วยคุณค่า ไร้สารพิษไม่มีสิ่งเจือปน 
 
 
"ORGANIC FOOD" จึงเข้ามามีบทบาทและเป็นทางเลือกใหม่สำหรับบุคคลที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพที่ดี ในปัจจุบัน ORGANIC FOOD หรือ อาหารอินทรีย์ ได้จากการนำผลิตผลทั้งหมด ทั้งเเบบสด เเปรรูป เเละเครื่องปรุงต่างๆ ที่ได้จากการทำ เกษตรอินทรีย์ (Organic Agriculture) มาเป็นวัตถุดิบ ในการปรุงอาหารทั้งหมด ซึ่งนอกจากจะปลอดสารพิษเเล้ว ยังช่วยรักษาสิ่งเเวดล้อมด้วย เพราะการที่จะขึ้นชื่อว่าเป็น ออร์แกนิคอย่างสมบูรณ์ได้นั้น ต้องหมายถึงผลิตผลที่ ได้จากฟาร์มที่ไม่ใช้สารเคมีใดๆเลย เป็นเวลานานกว่า 3 ปี ซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยระบบนิเวศที่คงความหลากหลาย ทางชีวภาพ ให้พืชผัก ผลไม้ที่เพาะปลูกหรือสัตว์เลี้ยงสามารถดำรัง ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมดุล
ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงทำให้อาหารออร์แกนิคมีราคาสูง และหาซื้อได้ยากกว่าอาหารปกติ จึงเป็นข้อจำกัดของผู้บริโภคไปโดยปริยาย แต่เมื่อคิดไปถึงว่าการที่เราเลือกรับประทานอาหารอินทรีย์ไม่เพียงช่วย เสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้เท่านั้น ในเรื่องของความอร่อยจากธรรมชาติก็จะได้รับไปเต็มๆ เช่นกัน
นอกจากนี้กระบวนการผลิตทุกขั้นตอน จะต้องไม่กดขี่แรงงาน บุคลากรมีความสุข ได้รับค่าจ้างอย่างยุติธรรม ดังนั้น จากกรรมวิธีที่กล่าวมาเเล้ว ทำให้ได้ผลผลิตที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่บริสุทธิ์ สะอาด และปราศจากการเจือปนของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อาหารอินทรีย์ จึงเป็นหนึงในอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะผู้บริโภคจะมั่นใจได้ในเรื่องของความสด สะอาด เป็นธรรมชาติ และได้คุณค่าทางโภชนาการ และไม่มีสารเคมีใดๆเจือปน

"น้ำมะเขือเทศ" ป้องกันโรคกระดูกพรุน


ปัจจุบันมีผู้คนจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาด้วยโรคกระดูกพรุน ซึ่งแนวโน้มของผู้มีความเสี่ยงหรือป่วยด้วยโรคกระดูกพรุน นับวันจะมีอายุน้อยลง ล่าสุดพบว่าคนทำงานวัย 30 ต้นๆ เริ่มประสบปัญหากับโรคดังกล่าวนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสาวๆ เสี่ยงมากกว่าผู้ชาย สาเหตุมาจากการบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมต่ำและมีพฤติกรรมที่ได้รับวิตามิน น้อยลง จากการที่ไม่ต้องการเจอแสงแดดมาก เพราะวิตามินดีมีประโยชน์ในการช่วยดูดซับแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นคนที่ต้องการ ห่างไกลจากโรคนี้ จำเป็นต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และแคลเซียมเป็นประจำ ซึ่งล่าสุดมีนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษเผยว่า "น้ำมะเขือเทศ" นั้นมีสรรพคุณชั้นเยี่ยมที่สามารถ ช่วยเสริมสร้างกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุนได้
โดยในมะเขือเทศนั้นมีไลโคพีน และสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย และป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วย
ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต แคนาดา ได้ทำการวิจัยและพบว่า ปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนกว่า 3 ล้านคน ทั่วประเทศอังกฤษ จึงได้ทำการทดสอบกับผู้หญิงวัยทอง (50-60 ปี) จำนวน 60 คนทั่วประเทศ โดยให้พวกเธองดกินมะเขือเทศเป็นเวลา 1 เดือน และจากการวิจัยดังกล่าว ให้ผลออกมาว่าผู้หญิงที่ไม่ได้กินมะเขือเทศเลย จะมีระดับ N-telopeptide ในเลือดสูงขึ้น โดย N-telopeptide นี้จะทำให้กระดูกเปราะได้ง่าย
จากนั้นทีมวิจัยได้ให้ผู้หญิงกลุ่มเดิมรับประทานมะเขือเทศที่มีปริมาณไลโคพี น 15 มิลลิกรัม ทั้งในรูปแบบแคปซูล และรูปแบบอื่น ๆ ซึ่งผลก็พบว่ามะเขือเทศสามารถลดระดับ N-telopeptide ในเลือดให้ลดลงได้
จากการวิจัยดังกล่าว นักวิจัยจึงสรุปได้ว่า มะเขือเทศนั้นมีคุณประโยชน์ต่อกระดูกมากมาย ดังนั้นการรับประทานมะเขือเทศสกัด ในรูปแคปซูลหรือจะเป็นน้ำมะเขือเทศคั้นสดวันละ 2 แก้ว ก็สามารถเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงขึ้นและยังลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรค กระดูกพรุนได้อีกด้วย

ใบชะพลู คุณค่าสมุนไพร มีประโยชน์ต่อสุขภาพ


ชะพลู หรือ ใบชะพลู อีกหนึ่งผักที่จัดว่าเป็นสมุนไพรแต่โบราณ ในปัจจุบันคนไทยรู้จักกันดีที่นำใบชะพลูมาใช้นั่นก็คือ เมี่ยงคำนั่นเอง ซึ่งใบชะพลูนี้ถือเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคได้อีกด้วย ดังนั้นมาดูกันเลยดีกว่าว่าใบชะพลูนี้ มีคุณค่าสมุนไพร มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง
สรรพคุณของใบชะพลู
ดอก : ทำให้เสมหะแห้ง ช่วยขับลมในลำไส้

ราก : ขับเสมหะให้ออกมาทางระบบขับถ่าย ขับลมในลำไส้ ทำให้เสมหะแห้ง

ต้น : ขับเสมหะในทรวงอก

ใบ : มีรสเผ็ดร้อน ทำให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ ในใบชะพลูมีสาร เบต้า-แคโรทีน สูงมาก
ประโยชน์ของใบชะพลู
ในใบชะพลูมีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายของมนุษย์อย่างมาก คือ แคลเซียมและวิตามินเอซึ่งจะมีสูงเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย และสารคลอโรฟิล ส่วนสรรพคุณทางยานั้น ช่วยบำรุงธาตุ แก้จุกเสียด
ข้อควรระวัง
อย่างไรก็ตามใบชะพลูก็มีข้อควรระวังที่สำคัญนั่นคือ ไม่ควรกินใบชะพลูในปริมาณมากเกินไป หรือกินทุกวัน เพราะมีสารออกซาเลต (Oxalate) ที่หากสะสมในร่างกายมาก ๆ จะทำให้เกิดนิ่วในไตได้ แต่หากเรารับประทาน ในจำนวนพอเหมาะเว้นระยะบ้างเชื่อกันว่าชะพลูจะช่วยปรับธาตุในร่างกายให้ สมดุล

วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557

8 ผักหนีน้ำมากประโยชน์

>> 8 ผักหนีน้ำมากประโยชน์ <<
#สุขภาพดีได้ที่นี่



หากใจรักการปลูกต้นไม้ใบหญ้าละก็ แนะนำให้ปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้กินค่ะ เพราะบางต้นสวยด้วย กินได้ด้วย ประโยชน์ครบถ้วนด้วย ไปดูผักสวนครัวถ้ามีรั้วก็ปลูกได้ค่ะ จะเลือกผักหรือเลือกต้นไม้แบบไหนนั้น หลักการเลือกคือต้อง "ง่าย" ปลูกง่าย ดูแลง่าย กินง่าย และได้รับประโยชน์ไปอย่างง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน... มาดูผักตระกูลง่าย ๆ กันค่ะ"

มะเขือเทศ

ลูกเล็กส้ม แดง ต้นไม่ใหญ่ แต่ประโยชน์มากมี กินแล้วผิวสวยเชียวค่ะ เลือกปลูกมะเขือเทศต้นเล็ก แต่อย่าลืมหาไม้หลักปักให้ด้วยนะคะ เพราะมะเขือเทศเป็นไม้เลื้อยค่ะ

ประโยชน์

มะเขือเทศเป็นราชินีของวิตามินซี เมื่อเทียบกับมะเขือเทศขนาดปานกลางจะมีปริมาณวิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล แถมยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ ไลโคปีน มีคุณสมบัติช่วยลดการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก และสำหรับสาว ๆ เรื่องบิวตี้มะเขือเทศก็เป็นนางเอกชั้นดี เพราะเครื่องสำอางหลายเจ้าก็มีส่วนผสมของมะเขือเทศ วิธีง่าย ๆ อย่างใช้น้ำมะเขือเทศพอกหน้า หรือใช้มะเขือเทศผ่านบาง ๆ จะช่วยสมานผิวหน้าให้เต่งตึง ลดริ้วรอย ผิวนุ่มชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ผิวหน้าอ่อนนุ่มด้วยการแปะลงบนหน้าค่ะ

สะระแหน่

มีฤทธิ์เย็นรสเผ็ดนิดหน่อย รสชาติออกมินต์แบบไทย ๆ

ประโยชน์

ช่วยขับเหงื่อและความร้อน ขับพิษไข้ หรือใช้ใบสด ๆ นำมาตำให้ละเอียดพอกบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อย หากมีอาการบิด หรือท้องร่วง ใช้ใบสดต้มดื่มแต่น้ำ และถ้าใช้สะระแหน่สดบดแล้วทาบนผิวจะช่วยไล่ยุงได้ ส่วนกลิ่นของสะระแหน่ หากนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยมีส่วนช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ได้

มะกรูด

จัดอยู่ในกลุ่มของสมุนไพรชั้นเลิศของไทยมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่ประโยชน์ก็จัดจ้านไม่น้อยเลยค่ะ แถมกลิ่นของต้นมะกรูดปลูกไว้หลังห้องกลิ่นจะช่วยไล่แมลงบางชนิดได้อีกด้วยนะคะ

ประโยชน์

เริ่มต้นที่การนำใบมะกรูดมาเป็นเครื่องแกงค่ะ ช่วยดับกลิ่นคาวในอาหาร และช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ หรือจะช่วยบรรเทาอาการเลือดออกตามไรฟันด้วยการนำใบสด ๆ มาถูฟัน หรือมีเวลามากหน่อยอยากได้น้ำมะกรูดจิบระหว่างวัน ก็ผ่านเปลือกบาง ๆ นำไปชงในน้ำเดือด ใส่การบูรลงไปเล็กน้อย จะช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะได้ และปิดท้ายเรื่องความสวยงามหากเวลาน้อยแต่อยากมีผมที่ดกดำ และยังช่วยกำจัดเชื้อราบริเวณหนังศีรษะได้อีกด้วย

พริก

ตัวเล็กกะจิ๊ด แต่ฤทธิ์เธอมากมีนะคะ ลำต้นเล็ก ขึ้นง่าย ไม่ลำบากในการดูแล เลือกต้นกล้าดูท่าแข็งแรงแล้วปลูกลงในกระถาง รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ตากแดดริมระเบียงก็ได้ค่ะ เพราะเป็นไม้ทนแดดได้ดี

ประโยชน์

พริกมีวิตามินซีสูง เบต้าแคโรทีนหรือวิตามินเอ และกรด Ascorbic มีส่วนช่วยขยายเส้นเลือดในลำไส้ ช่วยในการดูดซึมอาหารให้ดีขึ้น นอกจากนี้ในพริกยังมีสาร Capsaicin สารที่ให้ความเผ็ด และคุณสมบัติช่วยลดความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อต่าง ๆ และเดี๋ยวนี้มีรูปแบบครีมหรือโลชั่นแล้ว ระหว่างวันหากรู้สึกปวดเมื่อยลองทาครีมหรือโลชั่นส่วนผสมจากพริกดูนะคะ ช่วยคลายความปวดเมื่อยได้ค่

ผักชี

โดดเด่นด้วยการดับกลิ่นคาวในอาหารโดยเฉพาะ หลายคนอาจจะไม่ชอบกลิ่น แต่ผักชีมีประโยชน์ไม่น้อย แถมปลูกไว้ในสวนให้อารมณ์เหมือนดอกไม้ด้วยนะคะ

ประโยชน์

กลิ่นไม่ดีแต่ช่วยให้เจริญอาหาร ได้นะคะ รักษาอาการหวัด ละลายเสมหะ ขับเหงื่อและขับลม ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ โดยใช้ต้นผักชีสด ๆ หรือผักชีตากแห้งนำไปต้มกับน้ำ คั้นเอาเฉพาะน้ำและดื่มจิบระหว่างวัน

กะเพรา

ผัดกะเพราไก่ไข่ดาวเมนูที่ใคร ๆ ก็ว่าสิ้นคิด แต่มื้อกลางวันของบ้าน ลองผัดกะเพราหรือจะกินสดได้ประโยชน์เต็ม ๆ

ประโยชน์

ช่วยขับลมบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ วัยเบบี๋ใช้ใบกะเพรา 1 ใบ ตำให้ละเอียดแล้วเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา จากนั้นใช้สำลีชุบ 1-2 หยดให้ลูกกิน ช่วยขับขี้เทาได้ด้วยค่ะ หรือถ้าเป็นเด็กโตใช้ใบกะเพราสดขยี้แล้วทาที่ท้อง ส่วนคุณแม่หลังคลอดใส่ใบกะเพราลงในแกงเลียงจะช่วยป้องกันอาการท้องอืด แนะนำว่าเป็นกะเพราแดงจะมีฤทธิ์แรงกว่ากะเพราชนิดอื่น มื้อนี้คงไม่เบื่อกะเพรากันแล้วนะคะ

มะเขือเปราะ

อีกหนึ่งตระกูลมะที่มีประโยชน์ ขึ้นง่าย และไม่ต้องดูแลให้ยุ่งยาก

ประโยชน์

มะเขือเปราะถึงจะมีรสชาติออกขมและเฝื่อนสำหรับบางคนที่บอกตรงกันว่ากินยาก แต่มะเขือมีประโยชน์มากมายค่ะ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ฆ่าเชื้อแบคทีเรียขับปัสสาวะ และขับลมในร่างกาย มีประโยชน์ต่อตับอ่อน และช่วยบรรเทาอาการโรคเบาหวาน เพราะมีสรรพคุณคล้ายกับอินซูลินช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือด สำหรับคนที่ต้องการจะเริ่มต้นกิน หากยังกินแบบสดไม่ได้ ให้เลือกที่ใส่ลงในแกงก่อนนะคะ จะได้กินง่ายไม่ฝืนเกินไปค่

โหระพา

ปลูกง่าย ขึ้นง่าย ใบเยอะ มากประโยชน์ แถมเมล็ดสีม่วงที่ขึ้นอยู่กับช่อ นอกจากสีจะสวยแล้วยังมีประโยชน์ด้วยค่ะ

ประโยชน์

ลำต้นสด ๆ นำมาต้มกินกับน้ำ ดื่มแล้วช่วยบรรเทาอาการปวดและแก้หวัด หรือใช้ใบสด ๆ นำมาตำให้ละเอียดพอกบริเวณที่มีแผลฟกช้ำ บรรเทาอาการกลากเกลื้อน และแมลงสัตว์กัดต่อย ส่วนเมล็ดนำไปแช่น้ำจนพองเป็นเมือก แล้วกินใช้เป็นยาระบาย เพราะเข้าไปเพิ่มกากใยภายในลำไส้

ปูเล่

ชื่อแปลกหูแต่ประโยชน์ไม่น้อยค่ะ ปลูกง่ายสวยด้วย อารมณ์เหมือนปลูกดอกไม้กินได้ค่ะ

ประโยชน์

ปูเล่มากด้วยเบต้าเคโรทีน มีส่วนช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ป้องกันโรคมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือด และเบต้าเคโรทีนยังมีจุดเด่นเรื่องการบำรุงสายตาและผิวพรรณให้สดใสอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และโรคหวัดด้วย แถมด้วยแคลเซียมด้วยนะคะ ประโยชน์มากโข ไม่มีปลูกไว้ไม่ได้แล้วนะคะ

จานโปรดที่คุณกินแค่จานเดียวกี่แคลอรี่

>> จานโปรดที่คุณกินแค่จานเดียวกี่แคลอรี่?! <<



เมนูอาหารตามสั่งและอาหารจานเดียวดูจะกลายเป็นจานหลักที่ทุกคนต้องกิน มาดูกันดีกว่าว่าแต่ละอย่างให้พลังงานมาก-น้อย แค่ไหน แล้วคุณจะแปลกใจที่ข้าวมันไก่ไม่ใช่ที่สุดของความอ้วน !

ข้าวราดผัดคะน้าหมูกรอบ : 670 กิโลแคลอรี่

อาหารตามสั่งจานนี้มีผักใบเขียวเข้มอย่างคะน้าเป็นตัวเพิ่มคุณค่าทางสาร อาหารก็จริง แต่หมูกรอบก็ไม่ใช่ของเฮลตี้เลยสักนิด เปลี่ยนเป็นผัดคะน้าหมูธรรมดา จะลดลงเหลือ 580 กิโลแคลอรี่ ก็จะดีขึ้นอีกนิด

ข้าวผัดหมู : 660 กิโลแคลอรี่

ถ้าอยากลดความอ้วนต้องงดข้าวผัด เพราะเมนูนี้ข้าวทุกเม็ดจะดูดซับน้ำมันที่ใช้ผัดเข้าไปอย่างเต็มที่และไม่มี ทางเลี่ยงได้เลย ทางเลือกเดียว สำหรับคนชอบกินอาหารจานนี้ก็คือ เปลี่ยนเมนูซะ !

ข้าวราดกะเพราไก่-ไข่ดาว : 630 กิโลแคลอรี่


อาหารตามสั่งยอดฮิตที่หลายคนให้คำนิยามเอาไว้ว่า "เมนูสิ้นคิด" ชนิดนี้ แคลอรี่ก็สูงไม่น้อยหน้าใคร แค่ไข่ดาวฟองเดียวก็ปาเข้าไปประมาณ 125 กิโลแคลอรี่แล้ว แค่ตัดออกไปจานนี้ก็จะเหลือ 505 กิโลแคลอรี่

ข้าวมันไก่ : 596 กิโลแคลอรี่

ไก่ไม่กี่ชิ้นที่ตบแบน ๆ มาบนหน้านั้นไม่เท่าไหร่ แต่ข้าวมันก็คือข้าวที่หุงผสมกับน้ำมันที่ได้จากไก่ แคลอรี่ก็มาจากตรงนี้แหละ ถ้าจะปรับเมนูให้ดีขึ้น ก็ต้องเปลี่ยนเป็นข้าวสวยธรรมดากับไก่ต้มไม่เอาหนัง เหลือจากนี้ประมาณ 305 กิโลแคลอรี่

เส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วหมู : 679 กิโลแคลอรี่


ในขั้นตอนการผลิตก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่จะมีการเคลือบน้ำมันบาง ๆ ไว้ที่เส้น เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นติดกัน ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจที่แคลอรี่จะพุ่งกระฉูดขนาดนี้ ถ้าลองเปลี่ยนเป็นเส้นหมี่ก็จะเหลือประมาณ 440 กิโลแคลอรี่

ข้าวขาหมู : 690 กิโลแคลอรี่

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแคลอรี่มหาศาลขนาดนี้มาจากไหน ไขมันนิ่ม ๆ แสนอร่อยนั่นแหละตัวดีเลยเชียว หากอยากกินข้าวขาหมูแบบห้ามไม่ไหวก็ต้องฝืนใจสั่งแม่ค้าว่าเอาแบบเนื้อล้วน ไม่เอามันและหนัง และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นอีกต้องไม่ราดน้ำพะโล้หวาน ๆ ด้วยนะ อาจไม่อร่อยลิ้นเท่าไหร่ แต่จะเหลือแคลอรี่ประมาณ 430 กิโลแคลอรี่

Expert Says...

สำหรับ สาว ๆ ที่อยากจะลดน้ำหนักโดยการควบคุมแคลอรี่ ถ้าจะให้เห็นผลที่สุด คุณปาล์มขัตติยา ประชาเดชะ นักโภชนาการจากคลับสุขภาพและความงามอาเมทิส แนะ นำให้คุณคำนวณพลังงานที่เหมาะสมต่อวัน แล้วค่อย ๆ ปรับให้กินน้อยลงวันละ 100-200 กิโลแคลอรี่ เพื่อไม่ให้ร่างกายรับภาระหนักเกินไป ซึ่งพลังงานสามารถคิดได้จากสูตร

(10xน้ำหนัก (กก.))+(6.25xส่วนสูง (ซม.))(5xอายุ)-161

จาก นั้น หากคุณไม่ได้ออกกำลังกายให้นำผลที่ได้คูณด้วย 1.2 อีกครั้ง แต่หากออกกำลังกายบ้างก็คูณด้วย 1.3 จนถึง 1.7 แล้วแต่ว่ามีกิจกรรมเผาผลาญพลังงานมากน้อยแค่ไหน โดยเฉลี่ยแล้วส่วนใหญ่ควรจะคุมให้อยู่ในช่วง 1,200-1,300 กิโลแคลอรี่ ต่อวันนะคะ

ตัวอย่างเช่น หากคุณอายุ 25 ปี มีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม มีส่วนสูง 160 เซนติเมตร ไม่ค่อยออกกำลังกาย ลองมาคำนวณดูก็จะได้

(10x50)+(6.25x160)(5x25)-161=1,214 กิโลแคลอรี่ ถ้าไม่ออกกำลังกายให้คูณด้วย 1.2 ก็จะเท่ากับว่า ในหนึ่งวันคุณควรได้รับพลังงานประมาณ 1,456 กิโลแคลอรี่นั่นเอง

ขนมหวานไทย ๆ เลือกกินอะไรดีนะ

ขนมหวานไทย ๆ เลือกกินอะไรดีนะ ! <<

ขนมไทย ๆ มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าพวกขนม Junk Food แน่ แต่แคลอรี่ก็ไม่น้อยเหมือนกันในปริมาณ 100 กรัมเท่า ๆ กัน มาดูซิว่าอะไรน่ากลัวที่สุด

ขนมไทย

เม็ดขนุน 374 Kcal

ทำมาจากถั่วเขียวกวนกับกะทิและน้ำตาล จากนั้น นำมาชุบไข่ และต้มในน้ำเชื่อม จึงมีโปรตีนจากถั่วประมาณ 10 กรัม มีแคลเซียม 116 มิลลิกรัม และมีฟอสฟอรัสถึง 210 มิลลิกรัม ถ้าอยากกินมาก ๆ เม็ดสองเม็ดก็พอไหว เพราะหนึ่งเม็ดหนักแค่ประมาณ 10 กรัมเท่านั้น

Better : ลูกชุบ 284 Kcal

ทำจากถั่วเขียวกวนคล้าย ๆ กัน แต่เปลี่ยนจากชุบไข่มาเป็นชุบวุ้นใส ๆ แทน พลังงานก็เลยหดหาย แต่คุณค่าทางโภชนาการจากถั่วยังคงอยู่ แต่ก็ควรระวังเรื่อง "สี" สักหน่อย เลือกกินลูกที่สีอ่อน ๆ ไม่ค่อยฉูดฉาด หรือใช้สีจากธรรมชาติจะดีกว่า

ขนมไทย

ฝอยทอง 440 Kcal

แม้จะมีวิตามินเอถึงประมาณ 307 RE และฟอสฟอรัสสูงถึง 205 มิลลิกรัม แต่พลังงานก็สูงปรี้ด และคอเลสเตอรอลก็พุ่งได้ง่าย ๆ เพราะทำจากไข่แดงล้วน ๆ

Better : ทองหยอด 299 Kcal

ในบรรดาขนมหวานตระกูล "ทอง" ทองหยอดเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะ 100 กรัม มีประมาณ 15 ลูก หรือก็คือให้พลังงานประมาณ 20 Kcal ต่อลูก ดังนั้น หากกินสัก 2-3 ลูก ให้พอหายอยากก็โอเค

ขนมไทย

ขนมลา 439 Kcal

ขนมขึ้นชื่อของภาคใต้ชนิดนี้ทำจากแป้งข้าวเจ้าผสมน้ำผึ้ง ใน 100 กรัม มีคาร์โบไฮเดรตถึง 70.3 กรัม แต่ก็มีวิตามินบี 1 บี 2 และไนอะซิน 0.13, 2.09 และ 2.0 มิลลิกรัมตามลำดับ

Better : ขนมปลากริม 103 Kcal

100 กรัมก็คือประมาณ 1 ถ้วยเล็ก ๆ อร่อยครบรสทั้งหวานมัน เค็ม แต่พลังงานไม่พุ่งปรี๊ดอย่างที่คิด จะเพิ่มคุณค่าทางอาหารด้วยการใส่เผือกต้ม ก็อร่อยไปอีกแบบ

ขนมไทย

ข้าวเหนียวสังขยา 270 Kcal


ข้าวเหนียวมูนหวานมันโปะด้วยสังขยาหวาน ๆ พลังงานจะสูงก็ไม่แปลก แต่ที่น่ากังวลก็คือโซเดียมที่สูงถึง 315 มิลลิกรัม กินบ่อย ๆ ความดันโลหิตสูงอาจมาเยือนได้

Better : สังขยาฟักทอง 280 Kcal

ถึงจะให้พลังงานมากกว่านิดหน่อย แต่เปลี่ยนจากข้าวเหนียวมาเป็นฟักทองนึ่ง ยังไงก็เฮลตี้กว่า เพราะฟักทองอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระนั่นเอง

ทับทิมกรอบ



Did You Know? : ประโยชน์ของกะทิก็มีไม่น้อย

ช่วยให้กระดูกแข็งแรง กะทิ 1 ถ้วย มีฟอสฟอรัสถึง 240 มิลลิกรัม ซึ่งสารนี้ก็มีความสำคัญต่อความแข็งแรงของกระดูกไม่แพ้แคลเซียมเลยทีเดียว

ผ่อนคลายความเครียด แมกนีเซียมในกะทิช่วยบล็อกไม่ให้เซลล์ประสาททำงานมากเกินไป กล้ามเนื้อจึงคลายตัว และยังมีฤทธิ์รักษาความดันโลหิตคงที่ ช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

ลดการติดเชื้อ ในกะทิจะมีกรดไขมันชนิดหนึ่งชื่อว่า "กรดลอริก" ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นสารแอนตี้ไวรัสและแอนตี้แบคทีเรีย ชื่อ "โมโนลอริน" ภูมิคุ้มกันแบคทีเรียและไวรัสของคุณจึงแข็งแรงขึ้น

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2557

กลุ้มใจหน้าแก่ก่อนวัย! มาอ่านที่นี่กันค่ะ



สาว 30+ สร้างคอลลาเจนและอิลาสตินจะลดลง ปัจจัยภายนอกรุมเร้า ริ้วรอยเริ่มปรากฎ และเด่นชัดขึ้นหากไม่ดูแล
Checklist 7 นิสัยของสาวๆพาหน้าตาล้ำอายุ
  1. สาวช่างสงสัย – การขมวดคิ้วทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณหน้าผากได้เร็วขึ้น
  2. สาวยิ้มเก่ง –การยิ้มมากๆ อารมณ์ดีเกินกว่าเหตุ อาจทำให้รอยเท้าคุณกามาเยือนได้แม้อายุยังน้อย 
  3. สาวกล้าท้าแดด– แสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต ส่งผลให้ผิวเสื่อมเร็วก่อนวัย 
  4. สาวเจ้าอารมณ์ – ความเครียดจะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนต่างๆ ซึ่งผลต่อขบวนการทำงานในร่างกายทำให้ขาดความสมดุล 
  5. สาวรมควัน – บุหรี่มีสารทำให้ผิวพรรณดูหยาบกร้านมากขึ้น ทำให้หน้าแก่โทรมก่อนวัย
  6. สาวดื่มน้ำน้อย – น้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญของเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกาย การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
    ผิวหนังไม่เหี่ยวง่าย
  7. สาวนอนดึก – ควรเข้านอนก่อน 5 ทุ่ม เพราะช่วงเวลา 5 ทุ่มถึง ตี 4 เป็นช่วงที่ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

อย่าให้ริ้วรอยเป็นตัวหลอกอายุคุณ 
  • ริ้วรอยเกิดได้อย่างไร พอเข้าสู่เลข 3 สาวๆหลายคนเริ่มถอนหายใจกับริ้วรอยที่มาเยือน เพราะเมื่ออายุมากขึ้นความสามารถในการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินจะลดลง ขณะเดียวกันยังถูกทำลายมากขึ้นจากปัจจัยภายในและภายนอก ปัจจัยภายในที่สำคัญอันได้แก่ ความเครียด ซึ่งมีผลต่อระบบฮอร์โมนและระบบการทำงานอื่นๆของร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น ระบบเผาผลาญ (metabolism) ระบบย่อยอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน สำหรับปัจจัยภายนอก ได้แก่ แสงแดด มลพิษต่างๆ รวมถึงการใช้เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว ปัจจัยที่กล่าวมานี้ส่งผลทำให้ปริมาณและคุณภาพของคอลลาเจนและอิลาสตินลดลง ก่อให้เกิดริ้วรอยขึ้นน้อยๆ และเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง 
  • สาววัย 20 ต้นๆก็มีริ้วรอยได้!!! ส่วนใหญ่เป็นริ้วรอยที่ เกิดจากการแสดงออกทางสีหน้า เช่น ยิ้ม ขมวดคิ้ว เป็นประจำ การแสดงออกทางสีหน้าเกิดจากกล้ามเนื้อเล็กๆบนใบหน้าหดตัว เมื่อหดตัวบ่อยๆเข้า ก็จะเกิดเป็นริ้วรอยที่ถาวรได้ อย่างไรก็ตามการยิ้มให้กันเป็นสิ่งสวยงาม และทำให้จิตใจแจ่มใส  การรักษาจึงไม่ใช่การหยุดยิ้ม หากแต่เป็นการดูแลรักษาอย่างถูกวิธีซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป 
  • ความหย่อนคล้อย แพ็คเกจคู่ของริ้วรอย เมื่อคอลลาเจนและอิลา สตินลดลงมากเรื่อยๆ จนอ่อนกำลังที่จะต้านทานแรงโน้มถ่วงของโลก จะส่งผลให้ผิวหนังของเราเกิดความหย่อนคล้อย ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับบางคนอาจจะดูหน้าตอบ ซูบซีด แลดูเหนื่อยล้ากว่าความเป็นจริงได้ เนื่องจากปริมาณไขมันใต้ผิวหนังมีจำนวนลดลง

นวัตกรรมปราบริ้วรอยให้อยู่หมัด 
การรักษาริ้วรอยให้ได้ประสิทธิภาพต้องดูประเภทของริ้วรอย ร่วมกับสาเหตุของการเกิดเพื่อประสิทธิภาพการรักษาที่สมบูรณ์  ภายใต้การดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะนวัตกรรมแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและเน้นความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคที่ แตกต่างกัน 
  1. การฉีดโบทูลินั่มท็อกซิน  เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงออกทางสีหน้า โดยการฉีดสารโบทูลินั่มท็อกซินจะช่วยให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อเล็กๆบน ใบหน้า ทำให้ริ้วรอยลดลง แลดูเป็นธรรมชาติ
    จุดเด่น  เห็นผลประมาณหนึ่งสัปดาห์ภายหลังการฉีด ผลการรักษาจะอยู่ได้นาน 3-6 เดือนหลังการฉีด 1 ครั้ง
    Expert’s Tip : เทคนิคการฉีดโบทูลินั่มท็อกซินให้ดูดี คือ ฉีดแล้วยังดูเป็นธรรมชาติ ยังสามารถแสดงสีหน้าได้บ้าง (partial muscle contraction)  นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการฉีดที่เรียกว่า Superficial Lifting  เพื่อช่วยให้กรอบหน้าชัดเจนขึ้น ปรับกระชับรูปหน้า ทำให้หน้าดูเรียวสวย 
  2. การฉีดฟิลเลอร์ด้วยสารไฮยาลูโรนิคเอซิด  เหมาะสำหรับ ผู้ที่ปัญหาริ้วรอยร่องลึกหรือริ้วรอยถาวร แก้มตอบ ทำให้หน้าดูเหนื่อยล้า หรือผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างที่อยากจะปรับรูปหน้าให้ดูเอิบอิ่มแลดูอ่อนเยาว์
    จุดเด่น  เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการฉีดเพียง 1 ครั้ง และคงอยู่นานกว่า 8-12 เดือน โดยไม่ต้องพักฟื้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ น่าพึงพอใจและคงอยู่ยาวนานขึ้น สามารถทำการฉีดซ้ำได้ 2-3 ครั้งต่อปี
    Expert’s Tip :  ปัจจุบันฟิลเล่อร์มีหลายประเภท นอกจากจะใช้ฟิลเล่อร์เพื่อเติมเต็มในจุดที่ต้องการแล้ว ยังสามารถใช้เพื่อช่วยปรับรูปหน้าและยกกระชับใบหน้าได้ด้วย ทั้งนี้การฉีดทุกประเภทควรอยู่ภายใต้การรักษาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น นอกจากในเรื่องความปลอดภัยแล้ว ความสวยงามเป็นวัตถุประสงค์หลักของคนไข้ การรักษาจึงต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ร่วมกัน เพื่อออกแบบความงามให้เหมาะสมแต่ละบุคค แลดูสวยเป็นธรรมชาติในแบบเฉพาะบุคคล
    สิ่งที่อาจพบได้หลังการฉีดโบท็อกซ์และฟิลเล่อร์ อาจจะมีรอยฟกช้ำ ที่เกิดจากการฉีดโดยเฉพาะคนที่เลือดออกง่าย โดยรอยฟกช้ำจะหายภายใน 2 อาทิตย์โดยประมาณ ซึ่งระหว่างนี้สามารถแต่งหน้าเมคอัพช่วยอำพรางได้
    ข้อแนะนำ ยาหรืออาหารเสริมบางชนิดจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดรอยฟกช้ำ ยกตัวอย่างเช่น ยาแก้ปวดแอสไพริน หรือยาต้านการอักเสบ เช่น NSAID (Diclofenac หรือที่เรารู้จักกันคือ Voltaren และอื่นๆ) ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin อาหารเสริมบางชนิดเช่น Gingko (แป๊ะก้วย ), Omega3 (Fish oil, Krill oil) Green tea extract , Vitamin D, Vitamin E และ Astaxanthin ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงก่อนเข้ารับการรักษาล่วงหน้า 1 อาทิตย์
  3. การใช้ลำแสงเลเซอร์เพื่อยกกระชับ หลักการทำงานของ เลเซอร์คือช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวหนัง นอกจากนี้บางชนิดยังสามารถทำการลอกเซลล์ผิวชั้นบนเพื่อให้มีการผลัดเซลล์ผิว เก่าและสร้างผิวใหม่ หรือบางชนิดที่คลื่นความถี่มีพลังอานุภาพเฉพาะเจาะจง สามารถลงลึกไปถึงชั้นไขมันและชั้น SMAS (ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อบางๆระหว่างชั้นไขมันและกล้ามเนื้อ) ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยร่วมด้วย ทำให้หน้าดูเรียวและกระชับขึ้น 
    • โปรแกรม Aramis Laser  
      เหมาะสำหรับ ทุกสภาพผิว ผู้ที่เริ่มมีปัญหาริ้วรอยบางๆ ผิวไม่กระชับ  หรือผู้ที่ต้องการรักษาให้ใบหน้าดู่อ่อนเยาว์
      จุดเด่น เป็นเทคโนโลยีแสงเย็นทำ ทำให้รู้สึกเย็นสบายขณะทำ โดยลำแสงสามารถลงไปกระตุ้นเซลล์ให้ผลิตคอลลาเจนใหม่ทดแทนคอลลาเจนเดิมที่สูญ เสียไปตามธรรมชาติ ทำให้ผิวหน้านุ่มขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง หน้าใสขึ้น กระชับขึ้น และยังช่วยลดการอักเสบของสิวอีกด้วย หลังทำสามารถแต่งหน้าไปทำงานตามปกติได้ทันที
      ข้อแนะนำ ควรทำหลายครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดี และเพื่อเป็นการคงความอ่อนเยาว์ แนะนำให้รักษาอย่างต่อเนื่องตลอดไปทุก 3-4 เดือน (ถ้าสาวๆคนไหนใจร้อนอยากหน้าเด้งทันที อาจต้องใช้เทคนิคอื่นร่วมด้วย)
    • โปรแกรม Fine scan 
      เหมาะสำหรับ  ผู้ที่มีริ้วรอยตื้นๆ หรือรอยย่นโดยเฉพาะรอบดวงตา ผิวหนังเริ่มหยาบกร้านไม่เรียบเนียน
      จุดเด่น สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีที่หลังการรักษาครั้งแรก ผิวจะดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากกระบวนการสร้างคอลลาเจนและ  อิลาสติน ทำให้เซลล์ผิวใหม่ถูกสร้างขึ้นทันทีและ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไปอีก 4-6 สัปดาห์
      ข้อแนะนำ  หลังการรักษาผิวหนังจะอมชมพูคล้ายตากแดดจัดประมาณ 2-3 วัน โดยช่วงแรกเซลล์ผิวเก่ายังไม่ถูกผลัดให้ลอกหลุดออกไปนั้นจะทำให้ผิวหน้าจะมี สีเข้มขึ้น แลดูคล้ำเล็กน้อย ซึ่งเมื่อเซลล์ผิวเก่าหลุดออกใช้เวลา 5-10 วัน ก็จะมีเซลล์ผิวใหม่ที่สวยงามและมีสุขภาพดีขึ้นมาแทนท
    • โปรแกรม Exelo2 (Fractional carbon dioxide laser)
      เหมาะสำหรับ นอกจากจะใช้ในการรักษารอยแผลเป็นจากสิว ผิวขรุขระแล้ว ยังสามารถนำมาช่วยให้ใบหน้ากระชับ ลดเลือนริ้วรอยได้อีกด้วย
      จุดเด่น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้เกิดเนื้อเยื่อเซลล์ผิวใหม่พร้อมเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้แข็งแรงได้ อย่างรวดเร็ว โดยไม่ทำให้เซลล์ผิวข้างเคียงถูกทำลาย จึงมีระยะเวลาพักฟื้นสั้นเพียง 5-7 วัน
      ข้อแนะนำ หลังการรักษา ใบหน้าจะมีสีชมพูเข้มเป็นผลที่เกิดจากความร้อน หลังจากนั้นบริเวณที่รักษาอาจมีสีผิวเข้มขึ้น สีน้ำตาลอ่อน ๆ หรือเกิดสะเก็ดเล็กๆ ซึ่งจะหลุดออกไปภายใน 5-7 วัน หลังการรักษาไม่ควรแกะหรือเกา ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด อยู่ใกล้ไอความร้อน เช่น การอบไอน้ำ หรือซาวน่า ประมาณ 2 เดือน เพื่อป้องกันสีผิวที่เข้มขึ้น หลังจากนั้นสามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติ สามารถมาทำซ้ำได้ทุก 6 – 12 เดือน
    • โปรแกรม Ideal Reshape  
      เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย รูขุมขนกว้าง ใบหน้าหย่อนคล้อย
      จุดเด่น  เป็นเครื่องผสมผสานเทคโนโลยีหลายชนิดไว้ในเครื่องเดียว คือ มีแสงความเข้มข้นสูง แสงอินฟาเรด แสงเลเซอร์ไดโอดร่วมกับคลื่นวิทยุ ทำให้มีโปรแกรมรักษาหลายรูปแบบ อาทิ โปรแกรมทำให้หน้าใสเนียน โปรแกรมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยปัญหาด้านริ้วรอย และรูขุมขน และโปรแกรมสำหรับผิวหย่อนคล้อย
      ข้อแนะนำ  ควรทำต่อเนื่องทุก 6-8 สัปดาห์ อย่างน้อย 3-5 ครั้ง เนื่องจากมีหลายโปรแกรมในการรักษา แนะนำปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือกโปรแกรมการรักษาให้เหมาะสมกับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล

ปัญหาหน้าแก่ก่อนวัย เป็นปัญหาโลกแตกของผู้หญิงทั้งโลก


เคยไหม? โดนเรียกตรวจให้ยืนยันอายุเวลาใช้บัตร BTS / MRT สำหรับนักศึกษา
คุณจะรู้สึกอย่างไร? หากโดนหาว่าหน้าแก่ แม้ว่าจะเพิ่งอายุ 20+ อย่าเพิ่งชะล่าใจกับเลขอายุของตัวเองนะคะ
สาว 20 ต้นๆก็มีริ้วรอยได้! ส่วนใหญ่เกิดจากการแสดงออกทางสีหน้าจนกล้ามเนื้อใบหน้าหดตัวบ่อยเกิดริ้วรอยถาวร #/WrinkleCure


สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ในไทยปีนี้น่าห่วง

สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ในไทยปีนี้น่าห่วง
  1.  สธ. ประกาศสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่น่าห่วง จำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
  2.  เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 พบการระบาดมากที่สุด โชคดี
    ยังไม่พบการกลายพันธุ์และดื้อต่อยาต้านไวรัส
  3.  กลุ่มอายุที่พบป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่มากที่สุดคือเด็กและเยาวชน อายุตั้งแต่ 7 ปีจนถึง 34 ปี
  4.  ไข้หวัดใหญ่แพร่ติดต่อง่ายด้วยการไอหรือจามของผู้ติดเชื้อ
  5.  หมั่นสังเกตสัญญาณอันตราย และป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1

ร้อน! ร้อน! ร้อน! ร้อนๆแบบนี้ระวังโรคลมแดดนะคะ

โรคลมแดด 
1.  เกิดจากร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไป จนไม่สามารถระบายความร้อนได้ทัน

2.  หากตัวร้อน ผิวแดง แต่ไม่มีเหงื่อ คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย ใจเต้นเร็ว... คุณอาจเข้าข่าย ระวังชักหรือหมดสติ

3.  ป้องกันได้ด้วยการดื่มน้ำบ่อยๆ ใส่เสื้อผ้าสบายคลายร้อน ฯลฯ และทราบวิธีปฐมพยาบาลเมื่อมีอาการ


แอลกอฮอล์ทำให้อ้วน

แอลกอฮอล์ทำไมทำให้อ้วน ??
* เบียร์ 1 กระป๋อง ขนาด 120 ออนซ์ ให้พลังงาน 115 แคลอรีเข้าไปแล้ว เทียบเท่ากับกินข้าวถึง 1 ทัพพีครึ่ง
* ถ้าทานข้าวกับเนื้อสัตว์น้ำหนักทุกๆ1กรัม ร่างกายจะได้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี ขณะที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุก 1 กรัมจะให้พลังงานมากถึง 7 กิโลแคลอรี
ที่สำคัญคือหลังจากดื่มเหล้าเบียร์แล้ว ไม่ใช่ว่าจะหายหิว เราก็ยังต้องกินอาหารตามเข้าไปอีกอยู่ดี

* คนที่ดื่มเหล้าหรือเบียร์ทุกวันจะมีพลังงานส่วนเกินจากเครื่องดื่มเหล่านี้สะสมในร่างกายวันละ 50-200 กิโลแคลอรี

*ถ้าไม่ออกกำลังให้ไขมันสลายไป น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นเดือนละประมาณ 1 กิโล ..

ทานหลังออกกำลังกาย

เมนูต่อไปนี้ควรกินหลังจากที่ออกกำลังกายเสร็จแล้ว เพราะมันดีต่อกล้ามเนื้อของเราอย่างแท้จริง

1.โยเกิร์ตไขมัน 0% เพิ่มคุณค่าด้วยผลไม้สด เช่น ผลไม้จำพวกเบอร์รี่สด หลีกเลี่ยงโยเกิร์ตรสผลไม้ เพราะโยเกิร์ตประเภทนี้แฝงไว้ด้วยน้ำตาล

2.แซนวิชไก่หรือทูน่าใส่ผักเยอะ ๆ ร่างกายจะได้ทั้งโปรตีนคาร์โบไฮเดรตและแร่ธาตุ ใส่ผักกาดหอมสด มะเขือเทศ และขนมปังโฮลวีต

3.สมูธตี้ผลไม้เลือกโยเกิร์ตไขมัน 0% ผลไม้สด นมผง นำมาปั่นรวมกันจนเป็นเนื้อเนียน

4.น้ำผลไม้คั้นสด

หลังออกกำลังกาย ร่างกายต้องการสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต และโปรตีนเพื่อนำไปซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่สึกหรอ ผลคือมวลกล้ามเนื้อที่แข็งแรง และยืดหยุ่นดีเข้ามาแทนที่ชั้นไขมัน เราจึงรู้สึกว่าร่างกายดูเฟิร์มขึ้น

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

ชอบผ้าไทย วันนี้นุ่งผ้าเหนือแต่ตัดเป็นกระโปรงไปเรียนค่ะ

วันนี้ใส่ผ้าซิ่นลาว สวยเชียว (ผ้าซิ่นนะ) เอามาตัดเป็นกระโปรง
หึ...เปล่า เค้าตัดมาอยู่แล้ว 150 ชอบมากกก ผ้าถุงนุ่งโจงเนี่ย 
มีมวยผมติดปิ่นด้วย อิอิ ออกแนวโบราณจากภายนอกสู่ภายใน 
555555 antique เว่ยเห้ย

test

ก็นะ ลองเขียนดู เห็นมันเก็บอะไรได้เยอะ เผื่อจะไปตามความรู้สาระจากที่อื่นๆได้บ้าง