วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คู่มือสั่งสเต็กไม่ให้หน้าแตก! เลือกเนื้อให้ถูกปาก เลือกความสุกให้ถูกใจ

คู่มือสั่งสเต็กไม่ให้หน้าแตก! เลือกเนื้อให้ถูกปาก เลือกความสุกให้ถูกใจ 



"จะรับฟิเลมิยอง สตริปลอยด์ ที-โบน หรือเซอร์ลอยน์ดีคะ? อ่านเมนูสเต็กชื่อยากแล้วเวียนหัว ไม่รู้จะสั่งอะไรให้โดนใจ"


ชื่อ สเต็กชนิดต่างๆ เรียกจากวิธีการตัดชิ้นเนื้อจากส่วนต่างๆ ของวัว โดยคุณภาพและราคาของเนื้อวัวแบ่งตามเกรดและความนุ่มของเนื้อ ยิ่งกล้ามเนื้อวัวส่วนไหนใช้งานน้อย ก็ยิ่งนุ่มและแพง เราสามารถแบ่งเนื้อวัวได้ตามระดับความนุ่ม ได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1.ส่วนที่นุ่มที่สุด ได้มาจากส่วนหลังของวัว คือ เนื้อสัน (Loin) และซี่โครง (Rib)
2.นุ่มปานกลาง จะเป็นเนื้อบริเวณ โคนขาและสะโพก (Leg or Round) และเนื้อจากบริเวณหัวไหล่ (Chuck)
3.นุ่ม น้อย เป็นเนื้อจากบริเวณตอนกลางลำตัวด้านท้อง (Flank) ด้านอก (Short plate) ส่วนต้นขาด้านหน้า (Brisket) ส่วนต้นขาหน้า (Shank) และส่วนคอ (Neck)

ประเภทที่ 1 : นุ่มที่สุด
ได้มาจากส่วนหลังของวัว ได้แก่ส่วน เนื้อสัน (Loin) และ ซี่โครง (Rib) เหมาะกับการนำไปทอด ,ย่าง, อบ




เนื้อสัน (Loin / ลอยน์): หมายถึงสะโพกวัว นิยมเอามาทำสเต็กเพราะมีความนุ่มและแพงที่สุด
เนื้อสัน หรือ ลอยน์สามารถแบ่งเป็นประเภทย่อยได้อีกดังนี้


1.1) เนื้อเทนเดอร์ลอยน์ (Tenderloin Steak) หรือ Filet Mignon (ฟิเลมิยอง)
เป็น เนื้อสันในที่มีความนุ่มอร่อยเป็นพิเศษ เพราะเป็นเนื้อส่วนที่วัวไม่ต้องออกแรงใช้กล้ามเนื้อมาก มีขนาดชิ้นเล็กที่สุด ไขมันน้อย ราคาแพง มักจะจัดเสิร์ฟเป็นชิ้นหนาประมาณ 2 นิ้วขึ้นไป เพื่อความนุ่มที่สมบูรณ์แบบ

1.2) เนื้อสตริปลอยน์ (Strip Loin Steak) หรือ นิวยอร์กสตริปสเต็ก (New York Strip)
เนื้อ สันติดมันที่ติดอันดับเนื้อสเต็กที่อร่อยที่สุด เพราะทั้งนุ่มละลายในปากแบบเทนเดอร์ลอยด์และชุ่มฉ่ำจากส่วนที่ติดมัน รสเข้มถึงใจ ถือเป็นสุดยอดเนื้อของวงการสเต็ก แน่นอนว่าราคาสูงปรี้ดเช่นกัน !

1.3) ทีโบน (T-bone Steak) หรือพอร์ตเตอร์เฮาส์ (Porterhouse)
เนื้อ ส่วนที่ได้จากการเฉือนกึ่งกลางระหว่างเทนเดอร์ลอยน์ และเนื้อสตริปลอยน์(เนื้อสันติดมัน) คั่นกลางด้วยกระดูรูปตัว T ทำให้ถูกเรียกว่าทีโบน ทำให้เราได้ลิ้มรสเนื้อสองแบบในเวลาเดียวกัน ทีโบนต่างกับพอร์ตเตอร์เฮ้าส์ที่จะมีส่วนที่เป็นเทนเดอร์ลอยน์มากกว่าและ ชิ้นใหญ่กว่า อร่อยเลิศขนาดนี้ราคาก็แพงหูฉี่สะใจ

1.4) เซอร์ลอยน์ (Sirloin Steak)    
เนื้อ สันนอกหรือเนื้อสะโพกด้านบนที่เต็มไปด้วยเนื้อนุ่มๆ ปนมันแถมลายเนื้อพอให้เคี้ยวกรุบ ๆ มีทั้งความนุ่มและความมัน และราคาไม่แพงมากนัก

ซี่โครง (Rib / ริบ): ตัดมาจากส่วนต้นซี่โครง ตัดแต่งกระดูกและเอ็นรอบนอกออก เหลือแต่เนื้อส่วนกลางที่ให้รสชาติดีที่สุด
ซี่โครงมีเนื้อที่นุ่ม รสเข้ม นิยมนำมาย่าง และทอดน้ำมันน้อยๆ โดยสามารถแบ่งเป็นประเภทย่อยได้อีกดังนี้

1.5) โทมาฮอว์ค (Tomahawk Steak)
สเต็ก เนื้อที่มาพร้อมกระดูกคล้ายกับทีโบน แต่ชิ้นเนื้อใหญ่อลังการกว่าเพราะเป็นเนื้อซี่โครงส่วนที่ใหญ่ที่สุดในตัว วัว มีเนื้อหนังและไขมันจัดเต็ม ส่วนมากจะถูกเสิร์ฟด้วยความหนาประมาณ 2 นิ้วขึ้นไป

1.6) ริบอาย (Ribeye Steak)        
เนื้อซี่โครง ย่างกรุบกรอบที่ได้เนื้อติดมันมามาก จึงขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยชุ่มฉ่ำ เนื้อนุ่ม และรสเข้ม ถือว่าเป็นเนื้อที่ชุ่มฉ่ำและรสจัดที่สุด ราคาถูกว่าฟิเลมิยอง นิยมนำมาย่าง และทอดน้ำมันน้อยๆ

ประเภทที่ 2 : นุ่มปานกลาง
ได้แก่เนื้อจากบริเวณโคนขาและสะโพก (Round) และเนื้อจากบริเวณหัวไหล่ (Chuck) เหมาะกับการนำไป ต้ม, ตุ๋น, ทำเนื้อบด





2.1) ท็อป เบลด (Top Blade Steak) หรือแฟลท ไอรอน (Flat Iron)
เนื้อ สันบริเวณคอหรือหัวไหล่ Chuck เนื้อประเภทนี้จะมีความหนาเหมาะสำหรับการทำอาหารประเภท อบ การทำสตู เพราะจะได้เนื้อที่นิ่มเเละอร่อย เนื้อปนมันนุ่มชุ่ม ฉ่ำ มีมันมาก ความนุ่มเป็นรองแค่เทนเดอร์ลอยน์ รสดี นำไปย่าง หรืออบโดยไม่ต้องหมักก็อร่อย แถมราคาเนื้อส่วนนี้ถูกกว่าส่วนเทนเดอร์ลอยน์เกือบครึ่งอีกด้วย

2.2) เนื้อวัวส่วนสะโพก (top round)
เนื้อวัวตัดจากส่วนหลังของขา แม้ว่าเนื้อในส่วน round นี้จะเป็นส่วนที่ทำงานหนักเหมือน ส่วน chuck แต่เนื้อจาก round จะนุ่มกว่า

 

ประเภทที่ 3 นุ่มน้อยที่สุด 
 
 

เนื้อเหล่านี้ไม่นิยมนำมาทำเป็นสเต็ก เหมาะสำหรับการนำไป ตุ๋น, ทำสตู, เนื้อบด ได้แก่

- เนื้อจากบริเวณ ตอนกลางลำตัวด้านท้อง (Flank)
- ด้านอก (Short plate)
- ส่วนต้นขาด้านหน้า (Brisket)
- ส่วนต้นขาหน้า (Shank)
- ส่วนคอ (Neck)

เกรดของเนื้อสเต็ก


เกรดของเนื้อสเต็ก แบ่งตามความนุ่มจากปริมาณไขมันได้เป็น 3 ระดับ คือ
1. Prime เนื้อคุณภาพสูงสุด นุ่มและรสชาติเข้มข้นที่สุด มีปริมาณไขมันมาก
2. Choice เนื้อที่ได้รับความนิยมสุด ยังมีความนุ่มและจำนวนไขมันพอสมควร
3. Select เนื้อที่มีปริมาณไขมันน้อยที่สุด ไม่ค่อยนุ่ม

ระดับความสุกของสเต็ก
ความสุกของเนื้อสเต๊กแบ่งได้เป็น 6 ระดับ คือ





1. บลูแรร์ (Blue Rare) : สุกแค่ผิวเนื้อด้านนอก ด้านในยังดิบแบบเป็นสีแดงเกือบทั้งชิ้น

2. แรร์ (Rare) : ย่างแบบเนื้อด้านนอกสุกพอประมาณ (เป็นสีน้ำตาลอมเทา) ส่วนด้านในยังเป็นเนื้อแดงอมชมพูอยู่ ส่วนมากจะใช้เวลาย่างประมาณ 1 นาที

3. มีเดียม แรร์ (Medium Rare) : เนื้อกึ่งสุกกึ่งดิบ ด้านในยังเป็นเนื้อแดงประมาณ 50%

4. มีเดียม (Medium) : ย่างให้สุกขึ้นมาอีกนิด พอให้เนื้อด้านนอกเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ เนื้อด้านในอมชมพู

5. ดัน (Done) : ย่างแบบให้เนื้อสุกทั่วถึงกัน แต่ยังคงหลงเหลือเนื้อสีชมพูเล็กน้อย

6. เวล ดัน (Well Done) : เนื้อสุกทั่วถึงกันทุกส่วน ไม่เหลือเนื้อส่วนที่เป็นสีชมพูอยู่เลย ลักษณะเนื้อที่ย่างแบบนี้จึงไม่ค่อยมีความฉ่ำของรสชาติเนื้อ

รู้จัก เนื้อสเต็กส่วนต่างๆ การวัดคุณภาพและระดับความสุกกันไปแล้ว ใครที่สั่งไม่ถูกที่นี้ก็สามารถสั่งสเต็กส่วนที่อยากได้ไม่ต้องกลัวหน้าแตก แล้วนะคะ ทิ้งท้ายอีกทีจำง่ายๆ คือ

- ถ้าชอบเนื้อนุ่มๆ ให้เลือกส่วนเนื้อสัน (ลอยน์)
- ยิ่งมีไขมันแทรกมาก เนื้อก็ยิ่งนุ่ม
- ถ้างบไม่มาก อาจจะได้เนื้อที่ไขมันน้อยหน่อย เช่น ส่วนท๊อปเบลด แต่ว่าถ้าเอาปรุงดีๆ ก็อร่อยเหมือนกันนะ
- ระดับความสุกของสเต็กที่ถือว่าดีที่สุดนั้นก็คือ แรร์ (Rare) หรือ มีเดียม แรร์ (Medium Rare) เพราะเราจะได้ลิ้มรสความชุ่มฉ่ำของเนื้อแบบเต็มที่
- แถมท้าย: การกินสเต็กนั้นควรกินกับน้ำเกรวี่ที่ใช้ราดสเต๊ก โดยไม่ควรเอาซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศมาจิ้มสเต็กเพราะจะกลบรสชาติของเนื้อ อร่อยๆ ไปเสียหมด!

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

ข้าวผัดเนยใส่เบคอนกรอบ

ข้าวผัดเนยใส่เบคอนกรอบ

ส่วนผสม
1. เบคอน
2. ข้าวสวย
3. แครอท
4. หอมหัวใหญ่
5. รสดี + ซีอิ้วขาว+น้ำตาล
6. เนยแข็ง
7. น้ำมันสำหรับทอดเบคอน
8. ต้นหอมซอยสำหรับแต่งหน้า
9. ไข่ไก่



วิธีทำ
หั่นแครอท หอมหัวใหญเป็นลูกเต๋าเล็กๆ หั่นเบคอนพอดีคำทีนี้เรามาเริ่มเลย


1.เทน้ำมันลงในกะทะสำหรับทอดเบคอน(เป็นน้ำมันปาล์มดีกว่าค่ะเพราะมีจุดหลอมเหลวสูง) ทอดเสร็จละก็พักไว้ค่ะ
2. ผัดแครอทหอมใหญ่กับเนยพอหอมแล้วตกอกไข่ไส่ลงไปเลยค่ะเอาส่วนที่ผัดไว้กลบไข่ให้สุก
3.ใส่ข้าวลงไปผัดจนเริ่มเข้ากันแล้วปรุงรสด้วยรสดี+ซีอิ้วขาว(ใส่นิดเดียวพอค่ะเพราะเบค่อนกับเนยก็เค็มแล้ว+น้ำตาลเล็กน้อยนะคะพอตัดเค็ม
4.สุดท้ายแล้ว ปิดไฟเอาเบคอนลงไปคลุกค่ะ ตักใส่จานและแต่งด้วยต้นหอมซอย




เสร็จแล้ว ทะแด๊นนนนนน


วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

5 วิธีปฏิบัติของพ่อแม่ที่สร้างความเจ็บปวดให้ลูก

5 วิธีปฏิบัติของพ่อแม่ที่สร้างความเจ็บปวดให้ลูก



ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสุขอย่างหนึ่งของคนเป็นพ่อแม่ คือวันที่ได้เห็นลูกมีชีวิตอย่างมีความสุข และเติบโตเป็นที่รักของคนอื่นๆ แต่บางครั้งคุณพ่อคุณแม่เองอาจใช้ความรัก หรือวิธีการสอนที่อาจสร้างความเจ็บปวดให้ลูกโดยไม่รู้ตัว ซึ่งความเจ็บปวดเหล่านี้อาจส่งผลต่อการแสดงออกทางด้านพฤติกรรม และอารมณ์ในด้านลบตามมาได้

          ความน่าเป็นห่วงในข้างต้น ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสาขาพัฒนาการมนุษย์ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาการเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัยจึงได้สรุปวิธีปฏิบัติของพ่อแม่ที่อาจสร้างความเจ็บปวดให้ลูกออกเป็น 5 เรื่องหลักๆ เพื่อให้พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยง ดังต่อไปนี้

การเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น

          การเปรียบเทียบ คือ การสร้างความรู้สึกด้อยให้เกิดขึ้นในชีวิตของเด็ก ซึ่งเป็นอันตรายต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กอย่างมาก ถึงแม้จะช่วยให้เด็กพัฒนา และพยายามปรับปรุงตนเองเพื่อเอาชนะคำสบประมาทของพ่อแม่ แต่ก็อาจทำให้เด็กรู้สึกเจ็บปวด ยอมแพ้ เลิกพยายามต่อ หรือเกิดความคิดหาทางกลั่นแกล้งทำลายคู่แข่งคนอื่นๆ ได้ ทางที่ดี ไม่ควรใช้คำพูดทำลายความรู้สึกของลูกด้วยการเปรียบเทียบ เพราะเด็กแต่ละคนมีอุปนิสัย ตลอดจนความสามารถ และความถนัดที่แตกต่างกัน ควรชื่นชมในสิ่งที่เขาเป็น และทำได้ดีมากกว่าไปเปรียบเทียบตัวเขากับเด็กคนอื่น

ต่อว่าลูกต่อหน้าคนอื่น

          การต่อว่าลูกต่อหน้าคนอื่น ถือเป็นการไม่ให้เกียรติ และทำร้ายความรู้สึกของลูกอย่างมาก ทำให้ลูกรู้สึกอาย เสียหน้า อยากหนี และอยากตอบโต้ ทางที่ดี เวลาที่ลูกมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ควรพูดกับลูกอย่างเป็นมิตร ไม่ตะคอก หรือโวยวายต่อหน้าคนอื่น หรือในที่สาธารณะ เช่น ต่อหน้าเพื่อน หรือคุณครู

บอกว่า “ไม่รัก” แล้ว

          ความรักไม่ควรนำมาใช้เป็นข้อแม้ คุณพ่อคุณแม่ควรทำให้เด็กๆ รู้ว่าคุณรักพวกเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข และทำให้ลูกรู้ว่าคุณตำหนิที่ตัวพฤติกรรม ไม่ใช่ตำหนิที่ตัวเขา ซึ่งการพูดว่าไม่รักบ่อยๆ เด็กๆ อาจไม่ทำตามสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ หรือคุณครูบอก เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะทำในเมื่อคุณพ่อคุณแม่เคยบอกว่าไม่รักเขาแล้ว

          “การที่ลูกถูกพ่อแม่บอกว่าไม่รัก เป็นการบั่นทอนความมั่นคงทางอารมณ์ และจิตใจของลูกอย่างมาก พ่อแม่บางคนบอกว่าไม่รักก็เพื่อให้ลูกเชื่อฟัง แต่หารู้ไม่ว่า วิธีนี้ทำให้ลูกรู้สึกเจ็บปวดมากที่สุด เพราะการที่พ่อแม่บอกไม่รักเขาแล้ว ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็กมาก ซึ่งหลายท่านบอกว่า เด็กไม่คิดมากหรอก แต่ลองคิดดูว่า ถ้าลูกพูดแบบนี้กับเราบ้าง เราจะรู้สึกอย่างไร มีผู้ปกครองบางท่านถึงกับคิดมาก และร้องไห้กันเลยทีเดียว เห็นไหมว่า เราก็คิดมากกับคำพูดของลูกเหมือนกัน” ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัยท่านนี้ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ

การเพิกเฉย ไม่สนใจ

          การไม่สนใจ แบ่งออกเป็น การไม่สนใจเชิงบวก กับการไม่สนใจเชิงลบ ซึ่งการไม่สนใจทางบวกนั้น ถ้าพฤติกรรมของลูก เช่น การร้องชักดิ้นชักงอ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเด็ก พ่อแม่ และสภาพแวดล้อม การเดินหนี หรือไม่สนใจ ถือเป็นการไม่สนใจเชิงบวก เป็นการฝึกวินัยเด็กให้รู้จักเรียนรู้ว่า วิธีนี้ไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ได้ เด็กก็จะไม่ทำอีก แต่ถ้าลูกวิ่งเข้ามาเล่น หรือเอาภาพวาดมาอวด แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากพ่อแม่ ถือเป็นการทำร้ายจิตใจลูกมาก

ข่มขู่ หรือทำให้กลัว

         ความกลัวเป็นธรรมชาติของเด็กที่เกิดขึ้นได้ปกติ เพราะเด็กยังไม่สามารถเข้าใจในเรื่องต่างๆ ได้ดีเกือบทั้งหมด เนื่องจากการรับรู้ หรือเรียนรู้ครั้งแรกของเด็กอาจทำให้เกิดความไม่กล้า หรือเกิดความกลัวขึ้นได้ แต่การเข้าไปตอกย้ำความกลัวด้วยวิธีการขู่ หรือหลอกให้กลัวเพื่อไม่ให้ทำในสิ่งต่างๆ เช่น “ออกไปนอกบ้าน ระวังตำรวจจับนะ” หรือ “ถ้าซนมากๆ เดี๋ยวแม่จะให้หมอมาฉีดยาเลยนะ”

          ซึ่งการขู่ลูกในลักษณะเช่นนี้ หากเกิดขึ้นบ่อยๆ เด็กจะค่อยๆ ซึมซับความกลัวจนกลายเป็นกลัวฝังใจได้ ซึ่งความกลัวเหล่านี้เอง เป็นสาเหตุให้เด็กเก็บไปฝัน และนอนผวาในเวลากลางคืน ถือเป็นการบั่นทอนสุขภาพของเด็กอย่างมาก ทำให้เด็กกลายเป็นคนขี้กลัว ทางที่ดี พ่อแม่ควรสอนด้วยหลักของเหตุและผลแทนการข่มขู่หรือหลอกให้กลัว

          ท้ายนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัย สะกิดใจถึงคุณพ่อคุณแม่ทุกๆ ท่านว่า เรื่องของจิตใจเป็นเรื่องใหญ่ที่พ่อแม่ควรใส่ใจ โดยเฉพาะวิธีการปฏิบัติของพ่อแม่ที่อาจทำให้ลูกรู้สึกเจ็บปวดได้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว เมื่อลูกรู้สึกไม่ดี หรือรู้สึกแย่ วันหนึ่งลูกจะค่อยๆ ถอยห่างออกจากพ่อแม่ และบ้านก็เป็นได้


ที่มาข้อมูล  :  ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทำอย่างไร..เมื่อลูกชายกลายเป็นหญิง

 ปัจจุบันสังคมไทยเปิดกว้างมากขึ้นสำหรับการแสดงออกของเพศที่สาม ทว่าในบางครอบครัวพ่อแม่หรือผู้ปกครองยังเปิดใจยอมรับไม่ได้ ส่งผลให้เด็กเกิดความเครียดในจิตใจ นั่นเพราะกลัวทำให้พ่อแม่เสียใจ จึงต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ ในการเผยความเป็นหญิงออกมา

             อาจารย์รณภูมิ สามัคคีคารมย์ อาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยว่า กะเทยไม่ใช่ปัญหาสังคม แต่สังคมไม่เข้าใจจนทำให้เป็นปัญหาเอง จากผลการวิจัยพบว่า กะเทย เป็นเพศที่ได้รับความรุนแรงมากที่สุดถึง 34.8% เมื่อเจาะลึกลงไปจะพบอีกว่า ปัญหาความรุนแรงเกิดขึ้นมากที่สุดในครอบครัวถึง 90% โดยกะเทยที่เสี่ยงต่อความรุนแรงมักเป็นกะเทยที่ยังไม่แปลงเพศ มีรูปร่างที่เป็นชาย ไว้ผมสั้น แต่แต่งหน้า ทาเล็บ ทาปาก ซึ่งกะเทยที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ จะถูกไม่ให้เกียรติและถูกเอาเปรียบมากกว่า เกย์และกะเทยที่แปลงเพศเหมือนผู้หญิงแล้ว

            จากผลวิจัยดังกล่าว ทำให้เว็บไซต์เพื่อนกะเทยไทย ออกแนวทางปฏิบัติการอยู่ร่วมกับกะเทยออกมา หวังบรรเทาความรุนแรงในครอบครัว และช่วยให้ครอบครัวที่มีบุตรหลานเป็นกะเทย สามารถอยู่ร่วมกับคนในครอบครัวได้อย่างมีความสุขและเข้าใจกันและกัน

            ต่อคำถามที่ว่า หากมีบุตรหลานเป็นกะเทย ควรปฏิบัติตัวอย่างไร อาจารย์รณภูมิ กล่าวว่า ถ้าเลือกได้ ส่วนใหญ่คงไม่มีใครอยากให้ลูกเป็นกะเทย คงอยากให้เป็นผู้ชายไปเลยมากกว่า แต่เมื่อไม่สามารถทำได้ ก็ต้องมีการวางแนวทางปฏิบัติซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างเขียนแนวทางนี้ ดังนั้นแนวทางนี้จึงเป็นเสมือนคู่มือที่ให้คำแนะนำว่าทำอย่างไรที่จะอยู่ร่วมกับบุตรหลานเพศที่สามได้อย่างไร

            จากผลการสำรวจพบว่า ครอบครัวที่รับไม่ได้จากปัญหาลูกชายกลายเป็นหญิงมีมากกว่ารับได้ ซึ่งกะเทยส่วนใหญ่จะแก้ปัญหาด้วยการหนีออกจากบ้าน แล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ตามเมืองใหญ่ ๆ เช่น พัทยา ประกอบอาชีพนักร้อง นักแสดง หรือกระทั่งขายบริการ เพื่อเลี้ยงชีพ

             แต่หากทำตามคู่มือแล้วยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ลำดับต่อไปต้องใช้คนกลางที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เข้ามาให้คำปรึกษา แนะนำวิธีการเปิดใจยอมรับ ซึ่งอาจารย์รณภูมิกำลังประสานงานกับโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อหาแนวทางป้องกัน

            ทั้งนี้ แนวทางปฏิบัติการอยู่ร่วมกับกะเทยเป็นก้าวแรกในการลดแรงกระตุ้นความรุนแรงของเพศทางเลือก การเปิดใจยอมรับและอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ จึงเป็นการปฏิบัติที่สำคัญในการลดและแก้ปัญหา อย่างไรก็ตามแนวทางปฏิบัติดังกล่าวได้เผยแพร่บางส่วนแล้วในเว็บไซต์เครือข่ายเพื่อนกะเทยไทย และกำลังประสานงานผ่านกระทรวงสาธารณสุขกับโรงพยาบาลอื่น ๆ เพื่อกระจายข่าวสารให้ทั่วถึง

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทำไมผอม .. แต่มีพุง???

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน
ในชุดโครงการ "รวมพลัง ขยับกาย สร้างสังคมไทย ไร้พุง"
เครือข่ายคนไทยไร้พุง
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการ
 สร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)


หุ่นผอมแห้งแต่มีพุง เป็นหนุ่งในรูปร่างที่พบได้บ่อบของ ชาย / หญิง ในปัจจุบัน
ซึ่งหลายคนคิดว่าไม่เป็นปัญหา

แต่เพราะว่าพุง ซึ่งเกิดจากไขมันสะสมในช่องท้องมีชื่อเรียกว่า Visceral fat
เป็นเซลล์ไขามันที่ไม่ดีกับสุขภาพ
เป็นเซลล์ไขมันที่ผลิตสารซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบระดับโมเลกุล
ส่งผลเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ รวมไปถึงอัลไซเมอร์

สาเหตุที่ผอมแต่ลงพุงนั้นเกิดจากสองสาเหตุหลัก
หนึ่งคือรับประทานอาหารผิดประเภท
และสองคือการไม่ออกกำลังกาย

อาหารที่เรารับประทานแต่ละปรระเทภส่งผลต่อการสะสมของไขมันในส่วนที่ต่างกันไป
มีอาหารสามประเภทหลักที่ส่งเสริมการสะสมไขมันไปอยู่ที่บริเวณพุง

     1.คือน้ำเชื่อมที่มีชื่อเรียกว่า High-Fructose Corn Syrup (HFCS)
     มีงานวิจัยในหนูพบว่า หนูที่ถุกป้อนด้วยน้ำเชื่อ HFCS
จะมีไขมันสะสมบริเวณพุงมากกว่าหนูที่ถูกป้อนด้วยน้ำตาลปกติในปริมาณแคลอรี่ที่เท่ากัน
HFCS คือสารให้ความหวานที่สังเคราะห์จากแป้งข้าวโพด มีการใช้กันมากใน อุตสาหกรรมอาหาร
เพราะราคาถูกและเก็บรักษาได้นา HFCS พบมากในน้ำอัดลม น้ำหวาน ชาเขียวรสหวาน
เครื่องดื่มฟังค์ชั่นนั่ลดริ้งค์รสหวานคุ๊กกี้ บิสกิต มัฟฟิ่น ซีเรียล ขนมขบเคี้ยว น้ำสลัด เครื่องปรุงรสหวาน

     2. คือ ไขมันตัวร้ายที่เรียกว่า ไขมันทรานส์
     ซึ่งเป็นไขมันสังเคราะห์ที่ใช้กันมากในอุตสาหกรรมอาหาร มีงานวิจัยพบว่า การรับประทานอาหาร
ไขมันทรานส์เป็นประจำ ส่งผลให้ไขมันสะสมบริเวณพุงมากขึ้น แม้ว่าปริมาณแคลอรี่จะไม่ได้สูงก็ตาม
ไขมันทรานส์พบในมาร์การีน ชอร์ตเทนนิ่ง เค้ก คุ๊กกี้ แครกเกอร์ ขนมปังบางประเภท
อาหารทอด ฟาสต์ฟู๊ด มันฝรั่งทอดกรอบ อาหารแช่แข็ง

     3. เสริมการสะสมของไขมันบริเวณพุง คือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ พบว่า
แอลกอฮอลล์ในเครื่องดื่มไม่ว่าจะเป็น เบียร์ วิสกี้ วอดก้า ค๊อกเทล หรือไวน์
จะส่งผลให้ไขมันไปสะสมบริเวณช่องท้องมากเป็นพิเศษ ยิ่งดื่มมาก ยิ่งมีผลมากขึ้น

     เมื่อมีอาหารเพิ่มพุง ก็ต้องมีอาหารลดพุง พบว่าอาหารที่ช่วยลดพุงได้ดีคือ
สารอาหารในกลุ่มไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ซึ่งพบมากใน ข้าวโอ๊ต ถั่วต่างๆ แตงกวา
แครอท ต้นหอม สตอรอเบอรี่ บลูเบอรี่ แอปเปิ้ล ส้ม
     เคยมีงานวิจัยที่พบว่า เพียงแค่เพิ่มการรับประทานเส้นใยอาหารให้ได้ 10 กรัมต่อวัน
(ประมาณแอ๊ปเปิ้ลสองลูก) ก็ส่งผลให้ปริมาณไขมันสะสมที่พุงลดลงได้แล้ว


สรุปแล้วการปรับอาหารเพื่อแก้ปัญหา

ผอมแต่มีพุงนั้น ไม่จำเป็นต้องลดปริมาณอาหาร หรือแคลอรี่โดยรวมที่รับประทาน
แต่ควรเปลี่ยนมารับประทานอาหารที่ "คลีน" ขึ้น
เลี่ยงการรับประทานอาหารที่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรร อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง
แล้วหันมารับประทานอาหารที่เป็น "อาหาร" จริงๆ
อาหารสดๆ ปรุงเอง เน้นรับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืช
เมื่ออาหารในจานของเราคลีน ไขมันที่สะสมบริเวณพุงของเราก็จะถูกคลีนออกไปในที่สุด

     นอกจากการปรับอาหารแล้ว อีกสิ่งหนึ่งซึงสำคัญมากคือการออกกำลังกาย
สาวผอมบางคนไม่อยากออกกำลังกายเพราะกลัวผอมมากขึ้นไปอีก หรือ

บางคนก็คิดว่าผอมอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องออกกำลังกาย ซึ่งเป็นความคิดที่
จริงๆแล้วสาวผอมที่ได้ออกกำลังกายจะช่วยให้มรกล้ามเนื้อขึ้นมาบ้าง
หุ่นจะดูดีและใส่เสื้อผ้าได้สวยขึ้น และที่สำคัญคือ การออกกำลังกายจะช่วยลด
การสะสมของไขมันบริเวณพุง ช่วยให้การกระจายของไขมันดีขึ้นด้วย
ปัญหาเรื่องไขมันสะสมในที่ๆไม่ควรสะสมก็จะหมดไป





<photo id="1" /><photo id="2" /><photo id="3" />

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

ไขปัญหา : พืชผักที่มีฤทธิ์เย็น

พืชผักฤทธิ์เย็น หมายถึงมีความหนาวน้อยลงกว่าพืชผักที่มีฤทธิ์หนาว อากาศในธรรมชาติจะแบ่งด้วยอุณหภูมิที่แตกต่างกัน เช่น เย็น หนาวและหนาวมาก (จนเป็นน้ำแข็ง) มีฤทธิ์กลางๆ ที่เรียกตามแผนไทยว่าฤทธิ์สุขุม ยังมีอุ่น ร้อน ร้อนจัด (เป็นไฟ) เป็นต้น พืชผักที่มีฤทธิ์หนาวได้กล่าวมาหลายชนิดแล้ว ในบทต่อๆ ไปจะได้กล่าวถึงพืชผักที่มีฤทธิ์เย็น ดังนี้





บวบ ในบ้านเรามี 2 ชนิด คือบวบเหลี่ยมกับบวบหอม บวบเหลี่ยมจะมีเหลี่ยมเป็นสันแหลมๆ เวลาจะทำอาหารต้องปอกเหลี่ยมแหลมๆ ออกก่อน จากนั้นค่อยหั่นเป็นชิ้นๆ สำหรับผัด หรือใส่ในแกงชนิดต่างๆ ได้ ส่วนบวบหอม ไม่ต้องปอกเปลือก สามารถหั่นเป็นชิ้นแล้วนำมาปรุงอาหารได้เลย หรือนำมาต้มจิ้มน้ำพริก ซึ่งในบ้านเรามีให้เห็นทั่วไป นอกจากบวบที่เป็นลูกกินได้แล้ว ยอดบวบอ่อนๆยังนำมาทำแกง ต้มจืดหรือต้มจิ้มน้ำพริกได้ด้วย

บวบมีฤทธิ์เย็น รสหวาน แต่ตรงขั้วจะขม ประกอบด้วยโปรตีน วิตามิน บี ซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น บวบ มีสรรพคุณช่วย ดับร้อนบำรุงลำไส้ เย็นเลือด ลดพิษ ทะลวงเส้นลมปราณ ช่วยเลือดเดินดี ให้ความชุ่มชื้น ดับกระหาย ละลายเสมหะ ให้กระเพาะลำไส้โล่ง ขับปัสสาวะลดบวม

ด้วยเหตุนี้บวบจึงเป็นพืชผักที่เป็นทั้งอาหารและยา ลูกอ่อนสำหรับทำเป็นอาหาร ลูกแก่สำหรับเป็นยา ในทำเนียบยาจีน จึงมีรายชื่อบวบรวมอยู่ด้วย ผู้ที่ร่างกายขี้ร้อน ถ่ายไม่สะดวก กินเมนูบวบจะช่วยลดร้อน ระบายอุจจาระได้ด้วย ผู้ที่มีไข้ กระหายน้ำ ดื่มน้ำแกงบวบ จะช่วยลดการกระหายและลดไข้ บวบจึงเป็นผักที่ปรุงอาหารได้หลายเมนู เช่น ใส่แกงเลียง ใส่แกงไตปลา ใส่แกงเปอะหน่อไม้ แกงจืด ผัดกุ้ง ผัดไข่ อันเป็นอาหารที่คนไทยนิยมกันมาแต่โบราณ

ยังมีรายงานว่า สตรีมีระดูขาว หลังคลอดน้ำนมไม่ไหลให้กินเมนูบวบ โดยเฉพาะแกงเลียง บวบยังใช้ภายนอกได้ เช่นนำบวบสดมาสับให้ละเอียด พอกลงบนฝีหนอง หรือที่มีการอักเสบ จะช่วยลดการอักเสบได้ บวบยังช่วยเรื่องความสวยงาม ใบหน้าและผิวล้างด้วยน้ำบวบต้มสุก จะช่วยให้ผิวขาวขึ้น ดอกบวบล้างสะอาด ต้มน้ำแล้วใส่น้ำผึ้ง ดื่มช่วยลดปอดร้อน ระงับไอ

นอกจากนี้บวบแก่ เอาเนื้อบวบออก เหลือแต่ซางบวบ เป็นยาจีนที่ดีชนิดหนึ่งใช้ร่วมกับยาจีนบางชนิดช่วยรักษาอาการปวดข้อ ระบายปัสสาวะ ลดบวม เป็นตะคริว เป็นต้น บ้านเราสมัยก่อนยังไม่มีฟองน้ำ สก๊อตไบร้ก็ได้ซางบวบนี่แหละมาล้างจาน และช่วยขัดผิวเวลาอาบน้ำ ร่างกายที่ไม่เหมาะในการกินบวบคือ ผู้ที่กระเพาะม้ามอ่อนแอ ท้องร่วงบ่อย และผู้ที่ไม่สบายมีโรคประจำตัวไม่ควรกินบวบ